All posts by Theresa Carlson

“ดู ดม ดื่ม ดำ” 4 ดอ ที่จะทำให้คุณสุขไปกับไวน์ได้มากขึ้น

ไวน์เป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งทีได้รับความนิยมสูงทั้งในบ้านเราและต่างประเทศ แต่บางคนอาจคิดว่าไวน์มีกรรมวิธีการทำและดื่มที่ยาก อีกทั้งราคายังสูง ดู ๆ แล้วเป็นเครื่องดื่มที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย เลยไม่กล้าลองชิมดูอีกสักที ทว่าหากมองให้ดี ไวน์มีประเภทที่หลากหลาย และมีวิธีอีกมากมายนอกจากการดื่มที่จะซึมซาบรสชาติและความเป็นไวน์ ที่เมื่อลองพิจารณาอีกทีก็อาจจะอยากลองแกว่งก้านแก้วไวน์ดูสักครั้ง

เริ่มต้นดื่มไวน์

                วิธีการดื่มไวน์ที่ถูกต้อง ก็ไม่ใช่ว่าเทพรวด ๆ ยกกระดกดื่มแล้วจบ เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้มาจากการหมักผลไม้ชนิดนี้ละเอียดอ่อน อย่างแรกที่ต้องทำหลังจากรับแก้วไวน์มาไว้ในมือ คือการ “ดู” เพราะในส่วนของบอดี้ของไวน์ ซึ่งดูจากสี และความขุ่น ซึ่งเป็นตัวบอกปริมาณความเข้มของไวน์ที่เรากำลังจะลิ้มรส มีบอดี้หนัก-เบาเพียงใด

                ขั้นตอนต่อไป คือการแกว่งเพื่อให้กลิ่นของไวน์ออกมา อีกทั้งต้องไม่ลืมสังเกตสีของไวน์ที่กำลังไหลวนอยู่ไม่เกินปากแก้ว ความเหลวหนืดของเนื้อไวน์ เพราะจะเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่ทำให้ทราบปริมาณของน้ำตาลและแอลกอฮอล์ในแก้วได้อีกด้วย และพอเมื่อแกว่งขาแก้วเบา ๆ จนกลิ่นลอยขึ้นมา คราวนี้แหละที่เราต้อง “ดม” ยิ่งกลิ่นแรงแสดงว่าไวน์มีความเข้มข้นสูง อีกทั้งกลิ่นยังสามารถบอกได้ถึงเครื่องเทศ หรือผลไม้ชนิดต่าง ๆ ที่หลอมรวมมาเป็นไวน์แต่ละหยดให้เราได้อีกด้วย

                พอมาถึงขั้นตอนการ “ดื่ม” ก็ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าไม่ใช่การเทกรอกลงปากไหลลงสู่ลำคอเหมือนเวลาเราดื่มน้ำเปล่า เพราะการดื่มไวน์ควรเป็นแค่การจิบเท่านั้น เพราะเพียงแค่การจิบ ก็จะทำให้เราได้รับรู้รส ความหวาน เปรี้ยว ฝาด เฝื่อน ของไวน์นั้น ๆ ความเข้มข้นของรสชาติ ที่สอดคล้องกันกับกลิ่นที่เราได้รับรู้

                มาถึงขั้นตอนสุดท้าย คือการ “ดำ” ที่หมายถึงดำดิ่งไปกับรสชาติของไวน์ ที่อบอวลอยู่ในปาก คุณภาพของไวน์อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือความยาวนานของรสชาติ ซึ่งถ้ารสนั้นเวียนวนอยู่ในปากของคุณนานเกินกว่าห้าวินาที ก็นับเป็น Long finish ของไวน์ ที่บ่งบอกคุณภาพได้พอสมควร

ไวน์ไหนดี

                หากท่านเป็นผู้เริ่มต้นในการดื่มไวน์ ซึ่งยังไม่สันทัดในรสชาติและความแตกต่างของแต่ละยี่ห้อมากนัก ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ VWIN แนะนำว่า การเริ่มต้นจากไวน์ราคาเบา ๆ ดื่มง่าย ๆ หรือเป็นพวกไวน์ผลไม้ ดูจะเป็นประตูทางเข้าสู่ขวดไวน์ที่สวยงามและดึงดูดใจมากกว่า ไวน์ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด หรือร้านสะดวกซื้อง่าย ๆ ก็เพียงพอต่อการลิ้มรสไวน์สักแก้ว

                แต่หลังจากนั้น ไวน์ผลไม้อาจเป็นตัวเลือกรอง ๆ ในการก้าวสู่การดื่มขั้นต่อ ๆ ไป เพราะไวน์ที่หมักจากผลไม้แตกต่างชนิดกัน ย่อมให้รสชาติและสัมผัสที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะไวน์ที่หมักด้วยองุ่น 100% ที่นอกจากจะอร่อยนุ่มลึกแล้ว เมื่อดื่มในปริมาณที่พอเหมาะก็ดีกับร่างกายอีกด้วย

ไวน์ไม่ใช่เครื่องดื่มที่ดูเข้าถึงยากอย่างที่หลายคนเข้าใจ ถึงแม้ความละเอียดซับซ้อนของขั้นตอนในการดื่มจะทำให้เราไม่สามารถดื่มในปริมาณที่เยอะ ๆ ทีเดียวได้ แต่การค่อย ๆ ละเลียดรสชาติของไวน์ในระหว่างมื้ออาหารและคอยประคองบทสนทนานั้นก็เป็นเสน่ห์ชูโรงตัวสำคัญที่ทำให้ไวน์ได้รับความนิยมอยู่เรื่อยมา

มารู้จักกับไวน์ของชาวโรมันในสมัยโบราณ ผ่านมุมมองของประวัติศาสตร์ชาติอิตาลี

หากกล่าวถึงประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกับไวน์แล้ว “อิตาลี” คงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ใครหลายคนจะนึกถึง อาจเป็นเพราะทุกคนคุ้นหูคุ้นตากับภาพของอาหารอิตาลีที่ประกอบไปด้วยพิซซ่า, สปาเก็ตตี้, ลาซานญ่า และไวน์ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ยังเป็นความจริงที่ว่า ไวน์ได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชนชาตินี้มาเป็นเวลานานนับพันปี โดยในบทความนี้จะขอกล่าวย้อนไปถึงไวน์ในยุคโรมันโบราณ

กรรมวิธีผลิตไวน์แบบชาวโรมันโบราณที่น่าสนใจ ภูมิปัญญาของผู้คนในอดีตกาล

หลายคนคงทราบกันดีว่า“กรุงโรม” คือเมืองหลวงของประเทศอิตาลี ในอดีต “จักรวรรดิโรมัน” หรือ “อารยธรรมโรมันโบราณ” คือหนึ่งในอารยธรรมแรก ๆ ที่รู้จักการผลิตและดื่มไวน์ ซึ่งครั้งหนึ่งจักรวรรดิโรมันเคยยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลครอบคลุมหลายประเทศทั่วยุโรป ช่วงเวลานั้นเองคือตอนที่วัฒนธรรมการปลูกไร่องุ่นและดื่มไวน์ได้มีโอกาสเผยแพร่ไปยังประเทศอื่น ๆ ด้วย เช่น ฝรั่งเศส, เยอรมัน, สเปน และอังกฤษ เป็นต้น

เพราะฉะนั้นอาจเรียกได้ว่าโรมันในสมัยโบราณคือหนึ่งในจุดเริ่มต้นของไวน์ที่เราควรให้ความสนใจ แน่นอนว่าในยุคนั้นมีกรรมวิธีการผลิตไวน์ที่แตกต่างจากยุคสมัยใหม่ ชาวโรมันในสมัยโบราณเรียนรู้ที่จะผลิตไวน์ด้วยวิธีการ “กด” พวกเขาได้ออกแบบเครื่องมือและขั้นตอนในการทำเพื่อให้ได้ไวน์ในหลากหลายคุณภาพ สำหรับคนในแต่ละชนชั้น ดังนี้

  1. ชาวโรมันเริ่มต้นด้วยการโยนองุ่นที่เก็บเกี่ยวมาเข้าไปในบริเวณที่เรียกว่า “Tabulatum” ซึ่งจากตรงนี้จะมีท่อเพื่อส่งต่อองุ่นไปยังส่วนต่อไป น้ำองุ่นที่ออกมาเองจากขั้นตอนนี้เรียกว่า “Protropum” และจะถูกใช้ในการผลิตไวน์คุณภาพดีที่สุดเพื่อคนชนชั้นสูง
  2. ต่อมาองุ่นก็จะถูกส่งไปยังบริเวณที่เรียกว่า “Forum Vinarium” ซึ่งจะมีคนงานใช้เท้าเปล่าเหยียบองุ่นเหล่านั้นเพื่อให้ได้น้ำองุ่นออกมา น้ำองุ่นที่ได้จากขั้นตอนนี้เรียกว่า “Mustum”
  3. จากนั้นน้ำองุ่น “Mustum” ก็จะถูกถ่ายเทไปยังโถหรือไหที่ทำหน้าที่เก็บกากใยต่าง ๆ เช่น ผิว, เมล็ด และก้าน
  4. น้ำองุ่นที่ปราศจากกากใยแล้ว จะถูกส่งต่อไปยังส่วนที่เรียกว่า “Lacti Musti” ซึ่งตั้งอยู่ขนาบข้างโถแยกกากทั้งสองฝั่ง บริเวณนี้จะเป็นพื้นที่ให้น้ำองุ่นได้ตกตะกอนและค่อย ๆ ไหลลงสู่โถขนาดใหญ่ เพื่อการหมักต่อไป
  5. องุ่นที่ถูกคั้นน้ำไปแล้วรอบหนึ่ง จะถูกโยนไปบริเวณ “Arca Lapidum” ซึ่งเป็นลานของแท่งหินปูนทรงกระบอกที่มีไม้ยื่นออกมา สิ่งนี้จะหมุนไปรอบ ๆ เพื่อให้กระทบกับองุ่น น้ำองุ่นในขั้นตอนนี้จะเรียกว่า “Mustum Tortivum” จะถูกใช้ในการผลิตไวน์คุณภาพต่ำ หรือทำไวน์ที่ใช้ในทางการแพทย์

เครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้ในงานสังสรรค์ โอกาสพิเศษที่ชาวโรมันโบราณจะดื่มไวน์ 

                เมื่อมีการผลิตขึ้นมาแล้วก็ต้องมีการบริโภค ชาวโรมันในสมัยโบราณจะดื่มไวน์ในงานเลี้ยงขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “Convivium” ในงานก็จะมีการเสิร์ฟอาหารที่ดีและหายาก มีโชว์ดนตรีและการเล่นกายกรรม รวมทั้งการแสดงการต่อสู้เพื่อสร้างความบันเทิงให้แขกเหรื่อ ไวน์ที่ใช้เสิร์ฟจะอยู่ในโถขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “Krater” และก่อนดื่มก็จะมีการผสมไวน์กับน้ำเปล่าก่อน ความพิเศษคือแขกทุกคนจะมีถ้วยของตัวเอง และสามารถเลือกสัดส่วนของไวน์และน้ำเปล่าตามใจชอบได้ ทำให้ไวน์ของทุกคนก็จะมีรสชาติหรือความเข้มข้นแตกต่างกันนั่นเอง

                ประวัติศาสตร์ชาติอิตาลี หรือข้อมูลเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณในช่วงที่จักรวรรดิโรมันรุ่งเรือง คือเครื่องพิสูจน์ชั้นดีว่าไวน์คือเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับมนุษย์มานานแล้ว แม้ว่าจะทำไปโดยความตั้งใจหรือไม่ หากไม่มีชาวโรมันเผยแพร่วัฒนธรรมในสมัยก่อน โลกก็อาจจะไม่ได้รู้จักไวน์ดีแบบทุกวันนี้

Bay Grape พิเศษกว่าร้านไวน์ธรรมดา แหล่งแลกเปลี่ยนและสานสัมพันธ์ผู้คน

Bay Grape เป็นชื่อของร้านไวน์ที่ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐขนาดใหญ่ที่มีประชากรมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังเป็นรัฐที่มีพื้นที่ติดกับชายฝั่งทะเล เมื่อลองพิจารณาตามนี้แล้วก็ดูจะสอดคล้องดีกับการที่ร้านมีชื่อว่า “Bay Grape” อันมีความหมายตรงตัวว่า “อ่าวองุ่น” ความพิเศษของสถานที่แห่งนี้ที่สมควรได้รับการกล่าวถึง คือแนวคิดเกี่ยวกับจุดประสงค์ของร้าน ที่ออกแบบมาเพื่อให้เป็นสถานที่สำหรับสานสัมพันธ์ผู้คน ผ่านการทำกิจกรรม พบปะสังสรรค์ พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องไวน์และเรื่องอื่น ๆ ร่วมกัน

จำหน่ายไวน์ในบรรยากาศผ่อนคลาย Bay Grape เปลี่ยนคนแปลกหน้าให้กลายเป็นเพื่อน

                ร้าน Bay Grape เป็นธุรกิจของสองสามี-ภรรยาที่มีชื่อว่า Josiah Baldivino และ Stevie Stacionis ก่อนหน้าที่จะเปิดร้านนี้ ทั้งคู่ได้สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับธุรกิจไวน์และอาหารมานานกว่า 20 ปี Josiah ซึ่งเป็นสามีเริ่มต้นเส้นทางอาชีพเครื่องดื่มตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย ด้วยการได้ลองเป็นอินเทิร์นของร้านไวน์ชื่อดัง “Silverlake Wine” ในลอสแองเจลิส หลังนั้นชีวิตของเขาก็ได้เกี่ยวพันกับไวน์และอาหารมาเรื่อย ๆ จนย้ายมาอยู่ที่บริเวณอ่าวนี้เมื่อปีค.ศ.2011

สำหรับ Stevie ซึ่งเป็นภรรยาก็ได้มีประสบการณ์ทำงานในร้านอาหารตามรัฐต่าง ๆ เป็นเวลานานถึง 7 ปี และในระดับมหาวิทยาลัยก็ได้เลือกเรียนด้านการสื่อสารเป็นสาขาหลัก พ่วงด้วยจิตวิทยาเป็นสาขารอง หลังจากนั้นก็ได้มีประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวพันกับการเขียน, การสื่อสาร และการตลาดมาโดยตลอด เมื่อได้ทราบประวัติของพวกเขา ก็จะทำให้เราเข้าใจได้ว่า Bay Grape คือผลลัพธ์จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาอย่างแท้จริง ด้วยความรู้ ความสามารถ และความตั้งใจที่พวกเขามี จึงทำให้ร้านนี้กลายเป็นสถานที่ที่พิเศษ ไม่ใช่เพียงร้านขายไวน์ธรรมดา แต่ยังเป็นศูนย์รวมของผู้คนที่ชื่นชอบไวน์และอาหารได้มีโอกาสทำความรู้จักกัน

ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทางร้านจำหน่าย ก็จะมีตั้งแต่ White, Red, Ro, Sparkling, Fortified & Sweet, Beer และ Cider โดยลูกค้าจะซื้อกลับบ้าน หรือเปิดดื่มที่ร้านพร้อมพูดคุยกับแขกคนอื่น ๆ ก็ได้ แต่เนื่องด้วยข้อบังคับจากใบอนุญาติสุรา ทำให้ร้าน Bay Grape มีข้อจำกัดว่าไม่สามารถจำหน่ายให้ลูกค้าที่มีอายุต่ำกว่า 21 ปีได้  

Classes & Tastings เข้าคลาสเรียนรู้และทำกิจกรรมเกี่ยวกับไวน์ใน Bay Grape

                เพื่อลูกค้าที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับไวน์ ทางร้าน Bay Grape จึงได้จัดคลาสเรียนและกิจกรรมขึ้นมา โดยคลาสเรียนในแต่ละวันก็จะมีบทเรียนหรือกิจกรรมที่ต่างกันไป เช่น วันจันทร์จะเป็น Blind Tasting Class และ วันพุธจะเป็น Seasonal Pairings Tastings เป็นต้น คลาสเรียนเหล่านี้ไม่ได้มีทุกวัน แต่สำหรับผู้ที่สนใจจะเข้าร่วมก็สามารถติดตามรายละเอียดตารางเรียนของแต่ละสัปดาห์ได้ในเว็บไซต์ของร้าน นอกจากนี้ที่ร้านยังมีบริการรับเป็นโฮสต์ในการจัดปาร์ตี้, งานแต่งงาน หรืองานสังสรรค์อื่น ๆ ที่ต้องการบาร์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

                การได้อยู่ท่ามกลางคนที่มีความชอบในเรื่องเดียวกัน รวมทั้งได้พูดคุยและทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน คงทำให้เกิดความรู้สึกสนุกสนานได้ไม่ยาก Bay Grape คงเป็นอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับผู้ที่ชื่นชอบไวน์ได้เสมอ

Flatiron Wines & Spirits ศูนย์รวมของไวน์และสุรานอกกระแสจากทั่วทุกมุมโลก

Flatiron Wines & Spirits คือชื่อของร้านขายไวน์และสุราในสหรัฐอเมริกา โดยมีเพียง 2 สาขาเท่านั้น ได้แก่ สาขานิวยอร์กและสาขาซานฟรานซิสโก ด้วยสถานที่ตั้งของร้านที่อยู่ในย่านสำคัญของประเทศ คงทำให้เดาได้ไม่ยากว่าร้านนี้เป็นร้านหนึ่งที่โด่งดังพอสมควร ด้วยเอกลักษณ์ของร้านที่เน้นรวบรวม และจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกกระแสจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจและแวะเวียนเข้ามาเลือกซื้อสินค้าจากที่นี่เสมอ 

แม้เป็นไวน์และสุรานอกกระแสแต่ก็มีคุณภาพ Flatiron Wines & Spirits คัดกรองให้

                ร้าน Flatiron Wines & Spirits มีแนวคิดที่ว่า ในเมื่อร้านไม่มีทางที่จะรวบรวมไวน์และสุราจากทุกยี่ห้อบนโลกได้อยู่แล้ว ร้านจึงพยายามหลีกเลี่ยงสินค้าที่มาจากระบบโรงงานอุตสาหกรรม และเน้นสินค้านอกกระแสแทน คำว่าไวน์และสุรานอกกระแสในที่นี้ หมายความว่าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มาจากผู้ผลิตรายเล็กและครอบครัวเป็นหลัก เพราะสินค้าจากผู้ผลิตเหล่านี้จะมีความเป็นเอกลักษณ์ และแสดงให้เห็นถึงคุณค่าด้านประเพณีผ่านกระบวนการทำได้มากว่า

ถึงแม้จะเป็นสินค้าที่ผลิตจากบริษัทเล็ก ๆ หรือเป็นอุตสาหกรรมครอบครัว แต่ก็มั่นใจได้ว่าเครื่องดื่มเหล่านี้มีคุณภาพ ปลอดภัย และสามารถเชื่อถือได้ ด้วยกระบวนการทำแบบออร์แกนิกและไบโอไดนามิก ซึ่งหมายความว่าเป็นกรรมวิธีธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีการควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมระหว่างการขนส่งสินค้าจากผู้ผลิตไปยังร้าน Flatiron Wines & Spirits ในส่วนของสินค้าทั้งหมดที่อยู่ในคลังนั้นจะถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ และจะมีการตรวจสอบไวน์เก่าก่อนที่จะนำเสนอให้ลูกค้าเสมอ

เนื่องจากเป็นไวน์และสุราที่มาจากผู้ผลิตรายเล็ก สินค้าจึงมักจะมีจำนวนจำกัดและถูกขายออกอย่างรวดเร็ว ทางร้านจึงแนะนำให้ผู้ที่สนใจสมัครเป็นสมาชิกในเว็บไซต์ เพื่อที่จะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อมีสินค้าเข้ามาใหม่นั่นเอง

Flatiron Wines & Spirits กับช่องทางการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์

                ในยุคที่โลกออนไลน์เข้ามามีบทบาทกับชีวิตผู้คนมากขึ้น ช่องทางการซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป เช่นเดียวกันกับร้านค้าส่วนมาก Flatiron Wines & Spirits ก็มีเว็บไซต์และบริการสั่งสินค้าออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ไม่สามารถเดินทางไปที่หน้าร้านได้ โดยในเว็บก็จะมีการแบ่งสัญชาติของไวน์และสุรา เช่น Italy, Germany, Austria, Spain, France และ Portugal เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการจัดแบ่งตามเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น สินค้าที่มีราคาต่ำกว่า 20 ดอลลาร์สหรัฐ และ สินค้าที่มาใหม่ เป็นต้น         

สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกเดินทางไปที่ร้าน ช่องทางซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ก็คงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม แต่ถ้าหากใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวถึงสหรัฐอเมริกา การเข้าไปซื้อสินค้าที่ร้าน Flatiron Wines & Spirits ด้วยตัวเองก็คงเป็นทางเลือกที่ดีและน่าจดจำไม่น้อย เพราะการได้ยืนอยู่ ณ สถานที่จริงและเลือกเครื่องดื่มที่ชื่นชอบด้วยตัวเอง ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกสุขใจได้แน่นอน

All Saints Estate Winery ผลิตและจำหน่ายไวน์หลายประเภทอย่างมีคุณภาพ

เมื่อกล่าวถึงบริษัทผลิตไวน์ หลายคนอาจจะนึกถึงประเทศแถบทวีปยุโรปและอเมริกาเป็นหลัก แต่ในบทความนี้จะกล่าวถึงไวน์สัญชาติออสเตรเลีย ประเทศที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากไทยนัก All Saints Estate Winery คือบริษัทไวน์ในประเทศออสเตรเลียที่ก่อตั้งโดย George Sutherland Smith และ John Banks ตั้งแต่ปีค.ศ.1864 นับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทไวน์ที่ค่อนข้างเก่าแก่ เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าของสถานที่ก็มีการเปลี่ยนมือไปบ้าง จนวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ.2005 เป็นต้นมา 3 พี่น้องตระกูล Brown  ก็ได้รับหน้าที่บริหารจัดการบริษัทต่อจากคุณพ่อที่เสียชีวิตอย่างกะทันหัน

ผลิตไวน์ทุกประเภท จำหน่ายหลายขนาดและรูปแบบใน All Saints Estate Winery

All Saints Estate Winery คือธุรกิจครอบครัวของ 3 พี่น้องตระกูล Brown ได้แก่ Eliza, Angela และ Nicholas โดยแต่ละคนก็มีตำแหน่งหน้าที่แตกต่างกันไป โดยแต่ละคนมีหน้าที่คร่าว ๆ ดังนี้ Eliza พี่สาวคนโตมีตำแหน่งเป็น CEO, Angela น้องสาวคนรองมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการด้านการตลาด และ Nicholas น้องชายคนเล็กมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไป ที่ทำการดูแลด้านการผลิตไวน์และไร่องุ่น

                บริษัทนี้ทำการผลิตและจำหน่ายไวน์ทุกประเภท ในหลากหลายขนาดและรูปแบบ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคทุกคน ตั้งแต่การผลิตไวน์ประเภท Sparkling, Red, White, Rosé และ Fortified และแน่นอนว่าสามารถเลือกสไตล์ของไวน์ได้ว่าจะเป็น Sweet หรือ Dry สำหรับเรื่องของขนาดหรือปริมาณก็มีให้เลือกถึง 6 ขนาด เริ่มตั้งแต่เล็กสุด 50 มิลลิลิตร ไปจนถึงใหญ่สุด 1.5 ลิตร ที่มีชื่อเรียกว่า “Magnums” เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อน         

นอกจากนี้ก็ยังมีการจำหน่ายในรูปแบบ Wine Club Collection อีกด้วย เช่น Winter Collection ซึ่งในคอลเลกชันหนึ่งจะประกอบด้วยไวน์ 6 ขวด อาจเป็นไวน์ประเภทเดียวกันหมดหรือผสมหลาย ๆ ประเภทก็ได้ สำหรับผู้ที่อยากลิ้มลองไวน์ของ All Saints Estate Winery แต่ไม่สามารถเดินทางไปถึงที่ร้านได้ ทางบริษัทก็มีบริการส่งให้ฟรีถ้าซื้อถึงขั้นต่ำที่กำหนดไว้

ดื่มไวน์อายุ 100 ปี ในบรรยากาศปราสาทเก่ากับ All Saints Estate Winery

ในบรรดาไวน์ทุกประเภทที่บริษัทผลิตขึ้นมา ไวน์ประเภท Fortified รุ่น NV All Saints Estate Museum Muscat และ NV All Saints Estate Museum Muscadelle คงเป็นไวน์ 2 รุ่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะทั้งคู่เป็นไวน์ที่มีอายุโดยเฉลี่ยมากถึง 100 ปี ทำให้รับรองได้ว่าเป็นไวน์ที่มีรสชาติลุ่มลึก เมื่อดื่มแล้วจะสามารถรับรู้ได้ถึงความอร่อยที่ซับซ้อน จากการที่ไวน์และแอลกอฮอล์กลั่นได้ผสมผสานกันเป็นอย่างดี โดยราคาของไวน์ทั้ง 2 รุ่น อยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์ออสเตรเลียต่อขวด หรือประมาณ 20,000 กว่าบาทไทย

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ All Saints Estate Winery คือสถานที่ที่มีความงดงาม จากตัวอาคารที่เป็นปราสาทเก่าแก่ สร้างขึ้นโดยอ้างอิงแบบจาก “The Castle of Mey” ปราสาทนี้มีขนาดใหญ่ถึง 4,500 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยชั้นใต้ดิน, โรงกลั่นเหล้าองุ่น, ร้านอาหารบนชานระเบียง, ห้องโถงใหญ่ และ ห้องโถงที่มีถังไม้หมักไวน์ รวมถึงบริเวณรอบนอก เช่นไร่องุ่นที่มีความสวยงามไม่แพ้กัน ทำให้ที่นี่ยังมีบริการรับจัดงานเลี้ยง งานแต่งงาน หรืองานสังสรรค์อื่น ๆ อีกด้วย

                หากต้องการลิ้มรสไวน์หลากหลายประเภทที่มีคุณภาพและรสชาติอร่อย ในบรรยากาศที่สวยงามตระการตา All Saints Estate Winery คงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย หากได้ลองดูแล้วคุณอาจจะพบว่าไวน์ดี ๆ ไม่ได้มีแค่ในทวีปยุโรปและอเมริกา

Cork เปลือกไม้สำหรับทำจุกไวน์ ความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ของสิ่งเล็ก ๆ

Cork เปลือกไม้สำหรับทำจุกไวน์ ความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ของสิ่งเล็ก ๆ

“Wine Cork” หรือ “จุกก๊อกไวน์” เป็นส่วนประกอบเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งของขวดไวน์ ที่บางคนอาจไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไรนัก และมองว่าเป็นเพียงปราการสุดท้ายที่ขวางกั้นระหว่างตนและน้ำองุ่นหมักข้างใน แต่ในความเป็นจริงแล้วจุกไม้เล็ก ๆ นี้มีคุณค่าและความเป็นมาที่น่าสนใจมากพอ ๆ กับไวน์เลยทีเดียว จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าสิ่งนี้ทำมาจากเปลือกของต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในประเทศโปรตุเกส จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ากระบวนการตัดเปลือกไม้นี้ต้องทำด้วยมือเท่านั้น มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่รอให้เราได้รับรู้ เพื่อให้เข้าใจคุณค่าในทุกองค์ประกอบของไวน์อย่างแท้จริง

Cork Tree ต้นไม้สำคัญของโปรตุเกส กับวิธีการตัดเปลือกไม้แบบยั่งยืน

Cork เป็นต้นไม้ประจำชาติของประเทศโปรตุเกส เป็นต้นไม้ท้องถิ่นที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศ ด้วยสภาพแวดล้อม, ความชื้นในอากาศ และอุณหภูมิความร้อนที่เหมาะสม ทำให้ 35% ของจำนวนต้น Cork ทั้งหมดในโลกอยู่ที่ประเทศโปรตุเกส ซึ่งจุกก๊อกไม้ของไวน์ก็ทำมาจากเปลือกของต้นไม้ชนิดนี้นั่นเอง เจ้าของป่าได้ให้สัมภาษณ์ว่า ด้วยการที่ต้นไม้มีอายุยาวนานได้ถึง 200 ปี ทำให้ต้นไม้ที่เขาดูแลอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นต้นเดียวกันกับที่บรรพบุรุษรุ่นก่อน ๆ ของเขาเคยดูแลเช่นกัน

ส่วนวิธีการตัดเปลือกไม้ก็เปรียบเสมือนการทำงานศิลปะ เจ้าของป่าและคนงานจำนวนหนึ่งที่ทำหน้าที่ตัดเปลือกไม้ได้ให้ข้อมูลว่า งานนี้เป็นงานที่ยาก เป็นทักษะที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น คนงานต้องเริ่มเรียนรู้วิธีการตัดและฝึกฝนมาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็ก การตัดเปลือกต้น Cork นี้เป็นงานที่ต้องทำด้วยมือเท่านั้น ปกติต้นหนึ่งจะช่วยกันทำ 2 คน โดยจะเริ่มด้วยการใช้ขวานจามให้เป็นรอยเพื่อกำหนดขนาดแผ่นไม้ ต่อมาจึงจามพร้อมบิดให้เปลือกไม้แตกออกจากเนื้อไม้ แล้วก็ใช้ด้านข้างของใบมีดแซะเปลือกไม้ออกมาจากลำต้น

สิ่งที่ต้องพึงระวังที่สุดคือการตัดเปลือกแบบไม่ให้โดนเนื้อไม้ข้างใน เพราะถ้าโดนก็จะเป็นการทำร้ายต้น Cork และเปิดช่องว่างให้แมลงกับโรคต่าง ๆ เข้าไปในต้นไม้ได้ ภายหลังการตัดเปลือกไม้ไปใช้ ต้นไม้ต้นนั้นก็จะได้รับการปล่อยทิ้งไว้อีก 9 ปีเลยทีเดียวกว่าจะกลับมาตัดอีกครั้ง เพื่อให้ต้นไม้ได้พักซ่อมแซมตัวเองจนแข็งแรง และนี่ก็คือวิธีการใช้ประโยชน์จากต้นไม้แต่พอดี โดยคำนึงถึงความยั่งยืนเป็นสำคัญ

จากเปลือกไม้สู้จุกก๊อก เส้นทางการแปรรูปให้ได้ Wine Cork ที่มีคุณภาพ

เปลือกไม้ที่ตัดมาแบบดิบ ๆ จะถูกส่งต่อไปยังโรงงานทำจุกก๊อก โดยจะมีกระบวนการหมักเนื้อไม้ทิ้งไว้ 1-2 เดือน เมื่อครบกำหนดก็จะเอาเปลือกไม้ลงไปต้มในน้ำเดือดแบบเร็ว ๆ หลังจากนั้นก็จะทำการตัดแผ่นไม้ออกเป็นท่อน แล้วจึงใช้เครื่องจักรเจาะเนื้อของท่อนไม้เหล่านั้นให้ออกมาเป็น Wine Cork แบบที่เราเห็นกัน เมื่อได้จุกก๊อกแล้วโรงงานก็จะทำการคัดแยกออกเป็นเกรดต่าง ๆ รวมทั้งทำการตรวจสอบอีกมายมายหลายขั้นตอน เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นจุกก๊อกที่มีคุณภาพ ได้ขนาดตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่มีรูหนอนไช และไม่ทำให้กลิ่นหรือรสของไวน์เปลี่ยน

กว่าจะได้จุกก๊อกไวน์สักชั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการดูแลรักษาและตัดเปลือกต้น Cork นั้นต้องใช้เวลาและความชำนาญ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องทำด้วยใจที่เคารพและให้เกียรติธรรมชาติ รู้จักรักษาให้มากเท่ากับที่นำไปใช้ เพื่อให้ต้นไม้เหล่านี้ยังคงมีอยู่ต่อไปในอนาคต

Tokaji เสน่ห์ของไวน์เก่าแก่สัญชาติฮังกาเรียน ประวัติศาสตร์แห่งทวีปยุโรป

ฮังการีคือชื่อของประเทศหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของทวีปยุโรป เป็นอีกประเทศที่มีชื่อเสียงเรื่องภูมิทัศน์ที่สวยงาม การคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติ รวมทั้งมีสถาปัตย์กรรมแนวโกธิคที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยสามารถพบเห็นได้จากอาคารสำคัญ ๆ ของประเทศ อาทิ อาคารรัฐสภาฮังการี แต่นอกจากจุดเด่นเหล่านี้แล้วประเทศฮังการียังมีชื่อเสียงในเรื่อง “ไวน์” อีกด้วย เชื่อว่าสำหรับผู้ที่รักการดื่มไวน์ คงต้องเคยได้ยินชื่อไวน์ขาวรสหวานแบรนด์ “Tokaji” ของที่นี่มาบ้างไม่มากก็น้อย

Noble rot องุ่นเน่าแบบผู้ดี ที่มาของความหวานแสนพิเศษในไวน์ Tokaji

“Tokaji” เป็นไวน์ขาวรสหวานที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก “István Szepsy” คือชื่อของทายาทรุ่นที่ 16 ของตระกูล “Szepsy” ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มผลิตไวน์นี้มาตั้งแต่ประมาณปีค.ศ.1500 หรือยาวนานกว่า 500 ปี จนถึงตอนนี้ตระกูลก็ยังคงทำการผลิตไวน์อยู่ใน “Mád Village” อันเป็นหมู่บ้านโบราณที่มีความสำคัญอีกเช่นกัน เพราะเป็นหมู่บ้านแห่งแรก ๆ ของโลกที่ทำปลูกไร่องุ่นเพื่อผลิตไวน์โดยเฉพาะ จนถึงยุคสมัยของทายาทรุ่นล่าสุด ไร่องุ่นของตระกูลมีขนาดกว้างใหญ่มากถึง 65 เฮกตาร์ และกินพื้นที่กว่า 6 หมู่บ้านในบริเวณใกล้เคียง

István ได้ให้สัมภาษณ์ว่าตระกูลของเขาได้ทำการผลิตไวน์สามประเภทหลัก ๆ ได้แก่ 1.Furmint Dry 2.Szamorodni Sweet และ 3.Six Puttonyos Aszú โดยเขาคิดว่าปัจจัยหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังรสชาติแสนล้ำเลิศของไวน์มาจาก “หินภูเขาไฟ” เพราะไร่องุ่นของเขาได้ทำการปลูกอยู่ด้านบนพื้นดินและหินกว่า 30 ชั้น ที่ประกอบไปด้วยแร่ธาตุจากภูเขาไฟโบราณ ทำให้ได้องุ่นขนาดใหญ่ที่มีรสชาติอร่อย สดใหม่ และสมบูรณ์พร้อมที่จะนำไปใช้ต่อ

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเคล็ดลับสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความหวานของไวน์ Tokaji นั่นคือการใช้ประโยชน์จากเชื้อราที่มีชื่อว่า “Botrytis” หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า “Noble rot” ซึ่งหมายความว่า “การเน่าแบบชนชั้นสูง” เพราะเมื่อองุ่นมีการติดเชื้อก็จะทำให้เมล็ดองุ่นนั้นแห้งและเหี่ยวเฉาลง ส่งผลให้องุ่นมีรสชาติที่หวานมากขึ้น หลังจากนั้นก็จะทำการเก็บเกี่ยว เอาองุ่นติดเชื้อเหล่านั้นไปคั้นน้ำ และหมักในถังไม้จนได้เป็นไวน์ขาวรสหวานแบรนด์ Tokaji นั่นเอง

ไวน์ที่มีค่าเหนือกาลเวลา Tokaji Wine รสชาติที่ผู้คนชนชั้นสูงชื่นชอบ

                ด้วยคุณภาพและรสชาติที่อร่อยระดับโลก ทำให้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไวน์ Tokaji นี้เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในทุก ๆ ยุคสมัย ซึ่งหมายรวมถึงบุคคลในอดีตที่มียศถาบรรดาศักดิ์หลายคน เช่น วอลแตร์, สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 4, ประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สัน, เจ้าชายราโกตซี แฟแร็นตส์ที่ 2, พระเจ้าหลุยส์ที่ 14, แคทเธอรีนมหาราชินี และสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย จะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้ต่างเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติตะวันตกทั้งสิ้น สามารถกล่าวได้ว่า Tokaji นั้นเป็นไวน์เก่าแก่ที่ทรงคุณค่าเสมอไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม

                หากเป็นผู้ที่ชื่นชอบการดื่มไวน์ Tokaji น่าจะเป็นไวน์อีกแบรนด์หนึ่งที่ชีวิตนี้ควรลิ้มลองให้ได้สักครั้ง เพราะสิ่งที่จะได้จากขวดแก้วอาจไม่ใช่แค่รสชาติของน้ำองุ่นหมักเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงรสชาติของเรื่องราวในประวัติศาสตร์อันยาวนานที่แฝงอยู่ในนั้นอีกด้วย

Navis Mysterium ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไวน์พิเศษที่บ่มใต้ทะเลลึกกว่า 75 ฟุต!

บนโลกนี้มีไวน์อยู่หลากหลายยี่ห้อ โดยแต่ละยี่ห้อก็มีเอกลักษณ์ในการผลิตไวน์ที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านของวัตถุดิบอย่างพันธุ์ขององุ่น, วิธีการหมักและบ่ม, ภาชนะที่ใช้ใส่ขณะหมักและบ่ม, จำนวนปีในการบ่ม และปัจจัยด้านอื่น ๆ ที่สุดท้ายแล้วจะส่งผลต่อคุณลักษณะของไวน์ “Navis Mysterium” คือชื่อของไวน์ยี่ห้อหนึ่งที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น ไม่เหมือนใคร และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยกรรมวิธีการบ่มไวน์ใต้ท้องทะเลลึกกว่า 75 ฟุต หรือประมาณเกือบ ๆ 23 เมตรเลยทีเดียว

กระบวนการบ่มไวน์ กระบวนการสำคัญในรูปแบบของ Navis Mysterium

                “Aging of Wine” หรือ “อายุของไวน์” มาจากการบ่มไวน์ ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งที่สำคัญในการผลิตไวน์ เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยอุณหภูมิที่เหมาะสมและระยะเวลาที่ยาวนานมากพอ เพื่อปล่อยให้ไวน์ตกตะกอนจนน้ำมีความใส แต่สีมีความเข้ม รวมทั้งมีกลิ่นและรสชาติที่อร่อยขึ้น ซึ่งเกี่ยวเนื่องมาจากปฏิกิริยาทางเคมีเกี่ยวกับน้ำตาลและกรด จนได้เป็นไวน์ที่มีคุณภาพและมีราคาแพง แน่นอนว่าประเภทของไวน์ส่งผลต่อกระบวนการผลิต เช่น ไวน์แดงมักจะทำการหมักและบ่มในถังโอ็คเพื่อให้ได้กลิ่นและรสที่ดี

                Edi Bajurin จากประเทศโครเอเชีย คือผู้ที่ชื่นชอบการดำน้ำและการดื่มไวน์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเกิดไอเดียในการนำเอาสิ่งที่ชอบทั้งสองอย่างมารวมกัน ทำให้เกิดเป็นไวน์แดงยี่ห้อ “Navis Mysterium” ของตนเองขึ้นมา เอกลักษณ์ที่น่าสนใจของไวน์ยี่ห้อนี้ คือกระบวนการบ่มไวน์แดงที่ต่างจากธรรมเนียมโบราณทั่วไป ด้วยการบ่มใต้ทะเลลึกกว่า 75 ฟุตจากผิวน้ำ โดยนำเอาขวดวางเรียงใส่ตะแกรงที่ตั้งอยู่บนพื้นทะเล เพื่อกันไม่ได้น้ำทะเลพัดพาไป

Edi ให้สัมภาษณ์ว่าไวน์ของเขาจะทำการบ่มอย่างน้อย 1 ปีครึ่ง – 2 ปี และจะมีการดำน้ำลงมาเช็คไวน์ทุก ๆ 15 วัน เพื่อตรวจดูคุณภาพและดูว่ามีน้ำทะเลเข้าไปในขวดหรือไม่ นอกจากนี้เขายังให้เหตุผลของกระบวนการบ่มว่า ทะเลในความลึกเท่านี้จะมีอุณหภูมิที่เย็นกำลังดี และที่สำคัญคือเรื่องของ “เสียง” เขาเชื่อว่าการเก็บไวน์ไว้ใต้ทะเลจะทำให้ไวน์ได้อยู่ในความเงียบ ไม่ถูกรบกวนด้วยคลื่นเสียงเหมือนปกติ ส่งผลให้เกิดเป็นไวน์ที่มีคุณภาพและรสชาติดีกว่าปกติ

แพ็กเกจแปลกประหลาด Navis Mysterium เพิ่มจุดขายพิเศษด้วยเครื่องปั้นดินเผา

                จุดขายต่อมาที่น่าสนใจถัดจากกระบวนการบ่มคือเรื่องของบรรจุภัณฑ์ เพราะไวน์ของ Edi จะทำการบรรจุใส่ขวดแก้ว แล้วใส่ไว้ในเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเรียกว่า “Amphora”  อีกที ก่อนจะนำลงไปบ่มใต้ทะเลลึกเป็นระยะเวลานาน ทำให้เมื่อนำขึ้นมาแล้วก็จะมีหอยหรือเพรียงทะเลต่าง ๆ มาเกาะอยู่ตามบรรจุภัณฑ์ สร้างสีสันและจุดเด่นพิเศษให้กับไวน์ “Navis Mysterium” จนกลายเป็นของฝากที่นักท่องเที่ยวหลายคนเลือกซื้อ

                “ยิ่งเก่า ก็ยิ่งดี” คงเป็นวลีที่คุ้นหูเกี่ยวกับคุณภาพของไวน์ แต่คงจะดียิ่งกว่าถ้าเป็นไวน์ที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจอื่น ๆ ด้วย เหมือนที่ “Navis Mysterium” สร้างขึ้นมาผ่านกระบวนการบ่มและการบรรจุในภาชนะที่มีความพิเศษ ทำให้สามารถเรียกความสนใจจากผู้คนที่พบเจอได้เสมอ

เลือกไวน์ทำอาหารให้ถูกประเภท เพิ่มรสชาติที่ลุ่มลึกขึ้นให้อาหารจานโปรด

ความจริงแล้วการทำอาหารอาจเรียกเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งก็ว่าได้ เพราะสำหรับพ่อครัวหรือแม่ครัวมืออาชีพ การทำอาหารคงเป็นมากกว่าการนำเอาวัตถุดิบที่มีมายำรวมกันแล้วปรุงรสแบบง่าย ๆ หากแต่เป็นการดึงเอารสชาติที่ดีที่สุดของวัตถุดิบนั้นออกมา ด้วยวิธีการที่เหมาะสมที่สุด การใช้ “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ในการปรุงรสอาหาร เป็นศาสตร์ที่มีมานานแล้วทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก เช่น การใช้มิรินของประเทศญี่ปุ่น, การใช้เหล้าจีนของประเทศจีน, หรือการใช้ “ไวน์” ของประเทศในทวีปยุโรปทั้งหลาย โดยไวน์นั้นมีหลายประเภท อีกทั้งยังสามารถใส่ได้ในทั้งอาหารคาวและหวาน

อยากให้อาหารออกมาอร่อย ใช้ Regular Drinking Wines ดีกว่า Cooking Wines

“ไวน์” เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งที่ผู้คนจากทั่วโลกนิยมดื่มกัน นอกจากนี้ก็ยังนิยมนำมาใช้ในการทำอาหารทั้งคาวและหวานอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นได้ว่าไวน์ที่วางขายอยู่ในตลาด จะมีทั้ง “Regular Drinking Wines” และ “Cooking Wines” หรือที่หมายความว่า “ไวน์ที่ใช้สำหรับดื่มทั่วไป” และ “ไวน์ที่ใช้สำหรับการทำอาหาร” แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ ความจริงแล้วการใช้ไวน์สำหรับดื่มในการทำอาหาร จะได้รสชาติที่ดีกว่าการใช้ไวน์ทำหรับทำอาหารโดยเฉพาะ

เมื่อคิดตามแล้วอาจทำให้เกิดความสับสน แต่ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไวน์สำหรับดื่มจะมีรสชาติและคุณภาพที่ดีกว่าไวน์สำหรับทำอาหาร หากใครเคยลองชิมไวน์สำหรับทำอาหารจะพบว่ามีรสชาติที่เค็มมากกว่าไวน์ปกติ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าไวน์สำหรับทำอาหาร จะมีโซเดียมและสารกันบูดมากกว่าไวน์สำหรับดื่ม เพื่อให้สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ในบางครั้งไวน์สำหรับทำอาหารก็ทำมาจากไวน์ที่ไม่ผ่านมาตรฐานปกติ

ดังนั้นเราจึงควรใช้ไวน์ที่ชอบดื่มในการปรุงรส เพื่อให้ได้รสชาติอาหารที่อร่อยลุ่มลึกมากกว่า เช่นเดียวกับคำกล่าวที่ว่า “Don’t cook with something you won’t drink” หรือที่แปลว่า “อย่าทำอาหารด้วยสิ่งที่เราจะไม่ดื่ม” นั่นเอง    

ไวน์แบบไหนเหมาะกับอาหารจานใด เพิ่มความเข้าใจเพื่อการเลือกใช้ให้ถูกต้อง

                นอกจากการเลือกใช้ไวน์ที่มีคุณภาพในการทำอาหารอย่าง “ไวน์สำหรับดื่ม” แล้ว การเลือกใช้ไวน์ให้ถูกประเภทก็เป็นเรื่องสำคัญ ต่อไปจึงจะกล่าวถึงไวน์ 6 ประเภทที่เหมาะสมกับการทำอาหารจานต่าง ๆ ดังนี้

  1. Dry Red & White Wines สำหรับทำสตูว์เนื้อ, ครีมซุป, อาหารทะเล หรือทำเป็นซอสพื้นฐาน
  2. Dry Nutty/Oxidized Wines สำหรับทำน้ำเกรวี่เห็ดเพื่อราดบนเนื้อไก่และหมู หรือใช้กับเนื้อปลาและกุ้ง
  3. Sweet Nutty/Oxidized Wines สำหรับทำน้ำเชื่อมเพื่อขนมหวาน, คาราเมล หรือไอศกรีมวานิลลา
  4. Sweet Fortified Red Wines (Port) สำหรับทำซอสช็อกโกแลต, เค้กช็อกโกแลต หรือซอสของสเต็ก    
  5. Sweet White Wines สำหรับทำลูกแพร์ตุ๋นไวน์, ซอสหวานในทาร์ตผลไม้ หรือซอสเนยหวานเพื่อราดเนื้อปลาและกุ้ง
  6. Rice Wine สำหรับหมักเนื้อสัตว์ต่าง ๆ หรือทำซอสบาร์บีคิว

จะเห็นได้ว่ารสชาติและคุณลักษณะของไวน์แต่ละประเภท มีความสอดคล้องกับเมนูอาหารที่จะทำ ดังเช่นที่ปรากฏด้านบนว่าไวน์ที่จะนำมาทำขนมก็จะเป็นประเภทที่มีรสชาติหวาน เป็นต้น  

ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทของเครื่องดื่มหรือเครื่องปรุงรส ไวน์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ทุกคนไม่ควรพลาด ด้วยเอกลักษณ์ทั้งด้านกลิ่น รสชาติ และรสสัมผัส เลือกใช้ไวน์ที่ชอบกับประเภทอาหารที่ใช่ เพื่อสร้างรสชาติที่ถูกปากให้กับอาหารจานโปรดของคุณ

คออ่อนต้องหัดจิบ 4 เทคนิคดื่มไวน์แบบเข้าใจง่ายเพื่อให้เข้าถึงรสชาติสุดละมุน

ไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบรั่นดีและเบียร์ การดื่มไวน์นั้นไม่ได้เน้นหนักไปที่การปาร์ตี้สังสรรค์ แต่การดื่มไวน์อย่างแท้จริงนั้นเน้นไปถึงเรื่องของรสสัมผัสละมุนลิ้นและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของไวน์ ซึ่งไวน์แต่ละชนิดกับปีที่ผลิตไวน์นั้นมีผลต่อรสชาติและกลิ่นของไวน์ ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้ไวน์แต่ละขวด มีกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกัน ใครที่คออ่อนดื่มแอลกอฮอล์แบบจัดหนักไม่ได้ น่าจะลองหันมาดื่มไวน์กันดูบ้าง เรามีวิธีการดื่มไวน์แบบมืออาชีพให้คุณเข้าถึงรสชาติละมุนอย่างแท้จริงของไวน์มาบอกกัน

1. See

ง่ายและตรงตัวที่สุด ก่อนจะเริ่มดื่มไวน์ ต้องเริ่มจากการดูให้ชัด เมื่อคุณรินไวน์ใส่แก้วไว้แล้ว อย่าเพิ่งรีบดื่มนะ เพราะไม่ใช่น้ำ ให้คุณหยิบแก้วไวน์ที่มีไวน์อยู่นั้นขึ้นมา (เวลาหยิบให้หยิบส่วนก้านแก้ว) ค่อย ๆ ใช้สายตาพิจารณาสีของไวน์ในแก้ว ซึ่งไวน์แต่ละชนิดจะมีสีที่แตกต่างกัน ถ้าเป็นไวน์ขาว สีที่ออกมาจะมีทั้งสีเหลือง สีส้ม  สีทองหรือออกสีอำพัน หากเป็นไวน์แดง สีที่ออกมาจะออกมาแดง ๆ หรือสีเลือดหมู สิ่งที่คุณต้องดูและพิจารณาก็คือ สีและความขุ่นข้นและความใสของไวน์ สีที่เข้มและมีความข้นบ่งบอกว่าเนื้อสัมผัสของรสชาติจะเข้มและหนักสักหน่อย หากสีเข้มแต่ไม่ข้น แบบนี้ตัวบอดี้จะมาเต็มแต่รสชาติจะเบา ๆ ส่วนถ้าสีอ่อนและค่อนข้างใส รสสัมผัสก็จะออกไปโทน Light เบา ๆ ละมุนลิ้นไปอีกแบบ ส่วนที่ไม่ใสมากนักและความข้นก็ไม่ชัดเจนแบบนี้จะเป็น Medium รสสัมผัสจะกลาง ๆ

2. Swirl

เทคนิคต่อมาของการดื่มไวน์ก็คือ การแกว่ง หลังจากหยิบแก้วขึ้นมาพิจารณาสีและความข้นของไวน์แล้ว ต่อมาก็ต้องแกว่งเบา ๆ เพื่อให้ไวน์หมุนไปรอบ ๆ แก้ว การแกว่งนี้จะช่วยทำให้ไวน์ค่อย ๆ คายกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ในตัวออกมา นอกจากนั้นยังจะบ่งบอกถึงรสชาติเบื้องต้นได้ด้วย ซึ่งให้สังเกตจากน้ำไวน์ที่ไหลลงไปตามขอบแก้ว ซึ่งจะมี 2 แบบคือไหลลื่นเหมือนน้ำเปล่าไม่มีการทิ้งร่องรอยบนแก้ว กับ ไหลแบบมีความหนืดค่อย ๆ ไหลกลับลงแก้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยบ่งบอกปริมาณน้ำตาลและความหวานของไวน์ได้เลยระดับหนึ่ง การแกว่งไวน์ไปรอบ ๆ แก้วนั้นจริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่สนุกและท้าทายคล้าย ๆ กับการเล่นพนันคาสิโนและได้ลุ้นเหมือนพนันกีฬาไปกับเว็บยอดฮิตอย่าง VWIN เลยทีเดียว เพราะบางทีก็ไม่รู้ว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นคนที่ดื่มไวน์มานานแกว่งเพียงนิดเดียวก็จะรู้ได้ถึงรสสัมผัสทันที แต่คนที่เพิ่งหัดดื่มแกว่งแล้วจะคาดเดารสไว้ในใจแต่บางทีพอดื่มจริงอาจจะรู้สึกว่ารสชาติและกลิ่นแปลกไปจากที่คิดไว้เยอะมาก

3. Sniff

อย่าลืมที่จะดมกลิ่นไวน์ด้วย การดมนั้นเราจะดมจากแก้วไวน์ เพราะแก้วแบบนี้ออกแบบมาให้ส่งกลิ่นไวน์ได้ชัดเจน หากได้กลิ่นตั้งแต่การยกดมแบบห่าง ๆ บ่งบอกว่าไวน์นั้นน่าจะมีรสชาติเข้มข้น หากไวน์แก้วไหนต้องยกดมใกล้ ๆ ถึงจะได้กลิ่นจาง ๆ ก็มักจะบ่งบอกว่าไวน์แก้วนั้นความเข้มข้นไม่สูงรสจะเบา ๆ

4. Sip

ขั้นตอนสุดท้ายก็ลิ้มรสโดยการจิบ เราจะจิบ ๆ เพื่อรับรสไวน์เท่านั้น ให้พอรู้รสสัมผัสในตอนแรกว่าความหวานนั้นเป็นอย่างไร หวานน้อย หวานกลาง หรือหวานมาก แล้วมีความฝาดข้างในเป็นแบบไหน ไวน์ที่ดีนั้นทั้งกลิ่น และรสสัมผัสอันละมุนจะยังคงอบอวลอยู่ในปากค้างอยู่ในจมูกด้านในประมาณ 3-5 วินาทีแม้จะกลืนไปแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนคุณภาพและเกรดของไวน์ได้เลยนั่นเอง

นี่คือ 4 เทคนิคการดื่มไวน์แบบมืออาชีพแบบเข้าใจง่าย ใครที่ยังไม่เคยดื่มไวน์ หรือดื่มไวน์ไม่เป็นน่าจะลองนำไปใช้กันดูแล้วคุณจะรู้ว่าการดื่มไวน์มันช่างน่าสนใจกว่าการดื่มบรั่นดีหลายเท่าทีเดียว