Category Archives: รีวิวไวน์

สองความยิ่งใหญ่ที่ผสานรวมกันให้อยู่ภายในขวดเดียว “Opus One”

เชื่อว่าคนรักไวน์คนไม่มีทางที่จะพลาดหนึ่งในชื่อไวน์อันโด่งดังนั่นก็คือ “Opus one”ไวน์ที่ถือกำเนิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยสองนักผลิตไวน์ที่เป็นตำนานของวงการด้วยความใส่ใจและตั้งใจที่จะรวมวัฒนธรรม เรื่องราว หรือไม่ว่าความแปลกใหม่มารวมไว้ในไวน์ขวดเดียว เพื่อให้คนรักไวน์จากทั่วโลกได้รับรู้ถึงรสชาติอันมหัศจรรย์นี้

“Opus One” ความหลากหลายที่ลงตัว จากฝรั่งเศสสู่อเมริกา หาที่ไหนก็ไม่มีอีกแล้ว

สิ่งที่มหัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของ Opus One คือการที่มันถือกำเนิดขึ้นมาจากนักทำไวน์ระดับตำนานถึงสองคน นั่นก็คือ Baron Philippe de Rothschildชาวฝรั่งเศสผู้เป็นเจ้าของแบรนด์ไวน์ชื่อดัง และRobert Mondaviชาวอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญในการหมักบ่มไวน์แห่ง Napa Valley โดยทั้งสองนำวิสัยทัศน์ในการทำไวน์ของตัวเองมาผสานรวมเข้าด้วยกัน ตั้งใจทำให้เกิดไวน์รสชาติใหม่ ที่มีความทันสมัย มีสไตล์แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงความดั้งเดิมไว้ด้วยยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาซึ่งมาจากต่างที่ ต่างวัฒนธรรม และต่างภาษา ก็อยากที่จะนำเรื่องราวเหล่านั้นมาใส่ลงไวน์ขวดนี้อีกด้วยรวมไปถึงผสมผสานกรรมวิธีการหมักบ่มไวน์แบบต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้กับ Opus oneให้มันออกมาเพอร์เฟค จนได้ชื่อว่า “Opus one ความภาคภูมิใจของชาวแคลิฟอร์เนีย”

นอกจาก Opus One จะถูกสรรสร้างขึ้นมาด้วยความปราณีตแล้ว มันยังถูกบ่มด้วยความพิถีพิถันด้วยเช่นกันโดยองุ่นที่ใช้สำหรับการทำไวน์ตัวนี้ ก็คือ กาแบร์แน โซวีญงในช่วงที่ยังเป็นผลอ่อน ซึ่งทำให้รสชาติไวน์เด่นชัดและสร้างเอกลักษณ์ไปอีกแบบ

รสชาติที่ลืมไม่ลง จนอยากจะหวนกลับไปลิ้มลองอีกสักครั้ง สิ่งที่ Opus one ทำได้และไม่อาจมีอะไรมาเทียบเทียม

ผู้เคยทานไวน์หลายท่านให้การไว้ว่า ทีแรกคิดว่าOpus one จะเป็นไวน์ที่ให้ภาพลักษณ์สนุก ดื่มแล้วก็คงเพลิน ๆ จากนั้นก็จบแล้วจากกันไป แต่มันผิดคาด เพราะไวน์ตัวนี้ไม่ได้ทำแค่นั้น แต่มันกลับให้รสชาติที่ลุ่มลึก ผสานความสนุกและความขรึมไว้ในตัวเอง ซึ่งคงเป็นผลมาจากวัฒนธรรมการทำไวน์จากสองชาติ ที่ร่วมกันใส่มันไว้ในไวน์ขวดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าไวน์ขวดนี้ยังสามารถเปลี่ยนรสชาติไปตามอุณหภูมิในร่างกายของคนอีกด้วย เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลย ที่จะทำให้รสชาติของไวน์เปลี่ยนไปตามผู้ที่ได้ลิ้มลอง นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่มีอะไรมาเทียบ Opus one ได้เลย

บนโลกเรานี้เต็มไปด้วยความหลากหลายมากมายให้ได้เรียนรู้ และคงไม่มีใครคาดคิดว่าความหลากหลายทางวัฒนธรรมนี้ จะยังเป็นที่มาของความมหัศจรรย์หลายอย่าง ซึ่ง Opus one ก็เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์นั้น เพราะนอกจากที่มันจะเป็นตัวแทนของความร่วมมือระหว่างวัฒนธรรมและเรื่องราวที่แตกต่างแล้ว มันก็ยังเป็นตัวแทนของความอร่อยที่เป็นระดับตำนานทำให้นักชิมไวน์หลายคนต่างก็หลงใหลคลั่งไคล้จนกลายเป็นความยิ่งใหญ่ หลากหลาย ที่ผสานกันไว้ในขวดเดียวจนไม่อาจหาอะไรมาแทนที่ได้จริง ๆ

Romaneeconti1945 ยูนิคอร์นแห่งวงการไวน์ ที่ไม่สามารถพบได้ในชีวิตจริง

หากพูดถึงไวน์ที่มีราคาสูงลำดับต้น ๆ ของโลก หลายคนคงไม่ปฏิเสธว่ามีชื่อ Romaneeconti 1945”อยู่ในลิสนั้นด้วย เพราะถือเป็นไวน์แดงที่มีอายุการหมักบ่มที่ยาวนานมากถึง 70 ปี และยังมีเพียงแค่ 600 ขวดเท่านั้นถือเป็นไวน์แรร์ไอเทมสำหรับนักสะสม เพราะมีจำนวนลิมิเต็ดและหาได้ยากแล้วในปัจจุบันจนได้ฉายาว่าเป็น “ยูนิคอร์น” แห่งวงการไวน์เลยทีเดียว แต่ Romaneeconti1945 ก็ไม่ได้มีเพียงเรื่องรสชาติเท่านั้นที่ทำให้กลายเป็นไวน์ที่มีการประมูลสูงที่สุดในซึ่งตอนนี้หลายคนคงสงสัยกันแล้วว่าเพราะอะไร เจ้าไวน์ตัวนี้ถึงเข้าไปนั่งอยู่ในใจของนักสะสม และทำให้กลายเป็นไวน์ที่ทรงคุณค่า จนใครก็อยากครอบครอง

เรื่องเล่าจากไร่องุ่น ในชุมชนเล็กแถบเบอร์กันดี จุดเริ่มต้นของ Romaneeconti

“Romaneeconti” ถือกำเนิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของแค้วนเบอร์กันดีในประเทศฝรั่งเศส แคว้นเบอร์กันดีทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าที่นั่นคือแคว้นที่ให้ผลผลิตองุ่นคุณภาพสูง จึงทำให้การหมักบ่มไวน์พลอยมีคุณภาพดีตามไปด้วย เพราะส่วนใหญ่ไร่ไวน์ในบริเวณนี้จะอยู่ในระดับ กร็องครู (Grand Cru) ที่มีคุณภาพสูงมากที่สุด เหมาะแก่การนำไปบ่มเพาะ

แต่ที่Vosne-Romanéeซึ่งถือเป็นบ้านเกิดของ Romaneecontiอย่างแท้จริงกลับมีไร่องุ่นที่ทรงคุณภาพยิ่งกว่าในแคว้นเบอร์กันดีเสียอีก เพราะที่นี่ปลูกไร่องุ่นเองถึง5 เอเคอร์ และองุ่นทุกต้นของที่นี่ก็อยู่ในระดับกร็องครู (Grand Cru)ทั้งหมด ด้วยอัตราการปลูกที่คิดเป็นองุ่นปิโน นัวร์7 ส่วน และ ชาร์ดอนเน่ย์1 ส่วน สลับกันไป จึงทำให้ไร่ของที่นี่มีเอกลักณ์เป็นอย่างมาก ถึงกับมีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านในวงการไวน์ได้กล่าวไว้ว่า ผืนดินบริเวณที่เป็นต้นกำเนิดของRomaneecontiนี้ คือพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกมากที่สุดในการทำไวน์

มีนิทานเรื่องหนึ่งที่ถูกกล่าวขานต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน เป็นเรื่องเล่าในไร่ของRomaneeconti เล่าว่า ครั้งหนึ่งเจ้าของฟาร์มเคยถูกขู่ว่าจะวางยาพิษใส่ไร่องุ่นของเขา จนในที่สุดเขาต้องยอมให้เงินแก่โจรคนนั้นด้วยจำนวนมากถึง หนึ่งล้านยูโร ซึ่งถ้าตีเป็นเงินไทยได้มากถึง สามสิบสามล้านบาท! อาจเพราะเรื่องเล่านี้เอง ที่ทำให้Romaneecontiกลายเป็นตำนาน เพราะแม้แต่ผลองุ่นก็ยังถูกหมายปองก่อนที่พวกมันจะเข้าโรงบ่มอีกด้วยซ้ำไป

Romaneeconti1945กับฉายาเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่อาจลบเลือน “ยูนิคอร์น” แห่งวงการไวน์

นอกจากRomaneeconti จะมีเรื่องเล่าอันสุดพิสดารแล้ว มันยังถูกขนานนามได้ว่าเป็นยูนิคอร์นแห่งวงการไวน์อีกด้วย ซึ่งสาเหตุที่ต้องแทนเป็นยูนิคอร์นนั่นก็เพราะว่า ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ในเทพนิยายที่ไม่มีวันพบเจอได้ในความจริง จึงเปรียบเสมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ชอบดื่มไวน์ แต่คงไม่มีวาสนาจะได้ลิ้มรสของ Romaneecontiเนื่องด้วยเพราะมันมีราคาที่แพงหูฉี่ อีกทั้งยังมีจำนวนเหลือน้อยมาก ๆ บนโลก หากไม่มีเงินถุงเงินถังจริง ๆ ก็คงไม่มีโชคที่จะได้ครอบครองเจ้าไวน์ตัวนี้เลย

ซึ่งความเป็นยูนิคอร์นของRomaneeconti1945 นี้สืบเนื่องมาจากที่ผลผลิตไวน์ในปี 1945 มีจำนวนน้อยมาก ๆ เพราะโดนผลกระทบจากลูกเห็บในฤดูหนาวและฝน จึงเหลือผลองุ่นที่ใช้การได้ในการหมักบ่มไม่เยอะสักเท่าไหร่ ประกอบกับตอนที่นำเข้าโรงบ่มไปแล้วนั้น อากาศที่เบอร์กันดีกลับร้อนระอุขึ้นมาเสียเฉย ๆ ทำให้รสชาติไวน์ที่เป็นผลกระทบในตอนนั้นเกิดงวดและเข้มข้นมาก จนเมื่อเวลาผ่านไปมันกลับกลายเป็นไวน์รสชาติเลิศ ที่มีจำนวนน้อยเหลือเกินบนโลกใบนี้ ประวัติความเป็นมาที่ยาวนานและน่าสนใจมากมายของเจ้าไวน์ตัวนี้ ทำให้ Romaneeconti1945 เป็นอีกหนึ่งไวน์ในความฝันของเหล่านักสะสมคราวนี้หลายคนคงจะหายสงสัยกันแล้วใช่ไหม ว่าทำไมไวน์ตัวนี้ถึงมีฉายาว่า “ยูนิคอร์น” แห่งวงการไวน์ เพราะทั้งแพงและหายากแบบนี้ ถ้าไม่รวยจริง ๆ ก็คงไม่มีวาสนาจะได้เจอะเจอเลยล่ะ

SONOMA County ผืนดินอันอุดม แหล่งกำเนิดแบรนด์ไวน์คุณภาพจากแคลิฟอร์เนียที่เรารู้จักกันในชื่อว่า“Decoy”

“Sonoma County”ชื่อที่หลายท่านอาจรู้จัก ในขณะที่หลายท่านอาจไม่มีข้อมูลอยู่ในหัวเลยว่ามันคือที่ไหน แท้จริงแล้ว Sonoma County หรือ Sonoma Valley นี้อยู่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียในประเทศสหรัฐอเมริกา พื้นที่ส่วนใหญ่ในอาณาบริเวณนี้จะเป็นภูเขาและอีกฟากหนึ่งติดมหาสมุทรแปซิฟิก ยิ่งไปกว่านั้น Sonoma County ยังเป็นชุมชนที่ทำไร่องุ่นใหญ่ที่สุดในอเมริกา เพราะมีภูมิอากาศค่อนข้างแห้ง มีดินที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเกิดจากการทับถมของแร่ธาตุบนภูเขา และยังได้รับลมทะเลซึ่งเป็นเคล็ดลับความอร่อยของไวน์แดงแบรนด์ “Decoy”

ลักษณะที่ได้เปรียบบน Sonoma County แดนภูเขาที่เพิ่มความเข้มข้นให้องุ่น

ใน Sonoma County ที่นี่มีภูมิทัศน์เป็นภูเขาเสียส่วนใหญ่ ทำให้การปลูกไวน์ก็ต้องปลูกบนเนิน บนภูเขาด้วยเช่นกัน แต่นั่นกลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับการทำไร่องุ่นของที่นี่เพราะลักษณะที่ลาดชันทำให้ไร่องุ่นเกิดการระบายน้ำได้ดียามมีฝนหมดปัญหาเรื่องการเกิดบ่อน้ำกักขัง นอกเหนือจากนั้นองุ่นก็ยังได้ผลประโยชน์จากการได้รับแดดอย่างเต็มที่ยามพระอาทิตย์สาดเข้ามาทางทิศตะวันออก และจะได้พักจากแดดเมื่อพระอาทิตย์เบี่ยงตัวไปอยู่ทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศทางที่ภูเขาจะบังแสงแดดให้กับผลองุ่นในไร่ จึงทำให้สีขององุ่นในไร่มีความสวยงาม เป็นสีม่วงออกไปทางฟ้า ถือเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่หาได้ยากจากที่อื่น

นอกเหนือจากที่การระบายน้ำในไร่จะเป็นไปในทิศทางที่ดีแล้ว เพราะอาศัยความลาดชันของภูเขาในการเข้าช่วย ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นผลพลอยได้กลับมา นั่นก็คือทำให้องุ่นมีความเข้มข้นมากขึ้นจากหน้าดินบริเวณนั้นด้วย ในภายหลังผู้พัฒนาไวน์ของDecoy จึงได้เปลี่ยนให้มีการปลูกไร่องุ่นในแนวชันเป็นแถวเดี่ยวเพื่อให้ทางน้ำไหลผ่าน เพราะจะได้กระตุ้นให้ผลองุ่นมีรสชาติที่เข้มข้นเท่ากันทุกผล

เคล็ดลับความอร่อยของ Decoy ไวน์แดงภูเขาผสมลมทะเล ที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหนบน Sonoma County

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าลักษณะภูมิทัศน์ที่เป็นภูเขา ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องการระบายน้ำ และที่สำคัญบริเวณที่น้ำไหลผ่านและแสงอาทิตย์ส่องบริเวณภูเขานั้น ยังทำให้ผลองุ่นออกมามีรสชาติเข้มข้นมาก ๆ อีกด้วย แต่เคล็ดลับความอร่อยไม่ได้อยู่แค่เพียงเท่านั้น เพราะ Decoy ได้แบ่งแยกการทำไร่องุ่นออกเป็นสองแบบ คือการปลูกแบบเนินเขาและการปลูกแบบที่เรียบโล่งแจ้ง ซึ่งพันธุ์องุ่นที่ใช้ปลูกจะมีด้วยกันสองสายพันธุ์ นั่นก็คือ พันธุ์กาแบร์เน โซวีญงและพันธุ์เทมปรานิลโย โดยสายพันธุ์หลังจะเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ได้นิยมปลูกใน Sonoma County ดังนั้นจึงสามารถหาได้ที่ไร่องุ่นของ Decoy เท่านั้น

ผู้ผลิตไวน์ของ Decoy ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เคล็ดลับความอร่อยของ Decoy นอกจากจะเป็นเพราะผลองุ่นแล้ว ยังเป็นเพราะภูมิอากาศด้วย ที่ทำให้ผลองุ่นเจอกับอากาศที่แห้งและค่อนข้างร้อนในตอนเช้า ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบขององุ่นแดงอยู่แล้ว แต่ยามเมื่อถึงตอนกลางคืนกลับได้ลมเย็น ๆ จากมหาสมุทรแปซิฟิกเข้ามาช่วยทำให้องุ่นมีความสดใหม่ ไม่สุกงอมจนเกินไป และในฤดูที่เก็บเกี่ยวก็ง่ายต่อการดูแลรักษา

นอกจาก SonomaCounty จะเป็นพื้นที่ที่สวยงามแล้ว ก็ยังเป็นแหล่งเคล็ดลับที่สำคัญมาก ๆ ของแบรนด์ Decoy อีกด้วย พอได้รู้ประวัติศาสตร์ของไวน์เปี่ยมคุณภาพแล้ว ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าไวน์ที่ดื่มอร่อยขึ้นอีกเป็นกอง ใครมีโอกาสได้ลิ้มชิมรสไวน์แดงชื่อดังจาก Decoy ก็อย่าพลาดโอกาสเชียวล่ะ

Harlan estate หัวใจแห่งขุนเขาNapa Valley

คงมีไวน์แบรนด์ไม่กี่แบรนด์บนโลกใบนี้ที่จะติดเป็นหนึ่งในตำนานของไวน์ได้ แต่หนึ่งในร้อยในพันจากแบรนด์เหล่านั้น ยังมีหนึ่งแบรนด์ไวน์ที่ทำให้เหล่านักสะสมลืมเลือนไม่ลง และมักจะเอ่ยถึงชื่อแบรนด์นี้อยู่เป็นประจำ นั่นก็คือ Harlan Estate”ไวน์แดงที่มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ อยู่ร่วมสมัยมาจนถึงปัจจุบันนี้ และยังเป็นหัวใจแห่ง Napa Valley

William Harlan นักพนันผู้เดิมพันกับไร่องุ่นผู้ให้กำเนิดแบรนด์ในตำนาน “Harlan Estate”

แบรนด์ Harlan Estate ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1984 โดย William Harlan นักพนันหนุ่มประจำคาสิโนแห่งหนึ่งในอเมริกา ผู้ไม่เคยลังเลเมื่อโอกาสมาถึง และมักจะตักตวงมันได้ในทันท่วงทีเสมอ

William Harlan หรือผู้คนมักจะเรียกเขาว่า Bill Harlan เป็นชายหนุ่มที่มักจะให้โชคชะตานำทางตนเองอยู่เสมอ จวบจนกระทั่งวันหนึ่งเขาปล่อยให้ชะตาลิขิตเส้นทางของตัวเองอีกครั้ง เมื่อในปีค.ศ. 1966 เขามีโอกาสได้เยี่ยมชมร้าน Robert Mondavi Winery ร้านที่เพิ่งเปิดทำการได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ หลังจากที่เขาได้ไปที่นั่น เหมือนกับว่าเขาได้เห็นอนาคตตัวเองในทันที ความคิดนั้นแล่นพล่านเข้ามาในหัวของชายคนนี้จนเป็นรูปเป็นร่างในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาที จนทำให้เขาออกเดินทางตามภาพความฝัน และปล่อยให้โชคของเขานำพาไป

ความฝันนั้นได้นำWilliam Harlan มาถึง Napa Valleyซึ่งเขาได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนซื้อคลับหนึ่งในพื้นที่นี้ และได้เปลี่ยนให้มันกลายเป็นรีสอร์ทในภายหลัง จนเวลาล่วงเลยไปเขาถึงได้มารู้ว่าพื้นที่ที่เขาได้ครอบครองนั้น คือผืนแผ่นดินทองที่เป็นถึงหัวใจของการทำไวน์ ทำให้เขาได้ลงมือทำตามความฝันอย่างจริง ๆ จัง ๆ ในปีค.ศ. 1990 และในเวลานั้น Harlan Estate ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา

Napa Valley ไร่องุ่นที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เร้นลับจากภูเขาไฟ หัวใจลาวาแห่งขุนเขาHarlan Eastate

“Napa Valley” เป็นหนึ่งในไร่องุ่นที่ได้คุณภาพสูง และถือเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ Harlan Estate ในการหมักบ่มไวน์ พื้นที่ของ Napa Valley นั้นตั้งอยู่ในบริเวณ Oakville รัฐแคลิฟอร์เนียประเทศสหรัฐอเมริกา โดยบริเวณนี้จะเป็นภูเขาเกือบทั้งหมด ซึ่งทำให้ไร่องุ่นของที่นี่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ เพราะภายใต้ภูเขาหล่านั้นยังเต็มไปด้วยลาวาที่คุกรุ่นภายใน แถมพื้นผิวของดินยังเต็มไปด้วยรอยขรุขระ ปริแตกอย่างเห็นได้ชัดแต่มันกลับกลายเป็นเสน่ห์เร้นลับของพื้นที่นี่ไปอย่างน่าประหลาด อีกทั้งยังทำให้ไร่มีความสวยงามมากขึ้น เพราะถึงแม้ว่าดินจะมีรอยแตก แต่ William Harlan กลับปลูกไร่องุ่นให้เรียงกลบรอยต่อได้อย่างแนบสนิท เมื่อกวาดตามองไปจึงเห็นแต่ไร่องุ่นที่เขียวงดงาม ไม่มีร่องรอยความบุบสลายให้ได้เห็นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งสายพันธุ์องุ่นที่ปลูกในไร่แห่งนี้จะประกอบไปด้วย กาแบร์แน โซวีญง, แมร์โล, กาแบร์แน ฟร็อง และปิติต์ แวร์โดต์

และก็เพราะพื้นดินที่นี่ยังเต็มไปด้วยอุ่นจากลาวาของภูเขาไฟนั่นเอง ดินจึงอุดมไปด้วยแร่ธาตุมากมายอย่างมหาศาล ทำให้องุ่นที่ได้พลอยมีคุณภาพดี เหมาะสมแล้วที่Harlan Estate จะเป็นหัวใจแห่งขุนเขา และกลายเป็นตำนานเล่าขานต่อกันมาในปัจจุบันนี้

RENEGADE LONDONWINERY คัดเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก นำมาบรรจุใส่ขวดให้คุณได้เลือกสรร

แหล่งผลิตไวน์ชั้นนำของโลกกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ล้วนมาจากประเทศฝรั่งเศส ชิลี ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และอิตาลี ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีประเทศอังกฤษอยู่ในนั้นเลย แต่ทุกท่านทราบหรือไม่ว่า เมื่อไม่นานมานี้มี Winery หลายที่ในอังกฤษเกิดขึ้น เพื่อพัฒนาไวน์ที่มีรสชาติแปลกใหม่ ให้คอไวน์ได้ลิ้มชิมรสกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น หนึ่งในนั้นที่เราจะพาทุกคนไปรู้จักก็คือร้าน RENEGADE LONDONWINERY ใจกลางกรุงลอนดอน นิยามของการทำไวน์สไตล์ใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องมี Vineyard

ไม่จำเป็นต้องมี Vineyard ให้วุ่นวายRENEGADE LONDONWINERYเลือกวัตถุดิบที่คัดสรรจากทั่วทุกมุมโลกมาให้คุณ

แนวคิดของร้าน RENEGADE LONDONWINERY มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่อย่าง นั่นก็คือ ที่นี่ไม่ได้มีการปลูก Vineyard เป็นของตัวเอง เพราะคิดว่าการปลูก Vineyard นำมาซึ่งปัญหาที่ยุ่งยากหลายประการ เสี่ยงที่จะเกิดองุ่นเสียในบางฤดู และบางทีอาจจะเจอภาวะเลี้ยงองุ่นแล้วให้ผลเล็ก ซึ่งก็ส่งผลเสียตามมาต่อการผลิตไวน์ ทางร้านจึงเล็งเห็นแล้วว่าไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมานั่งปลูกทำไร่ให้วุ่นวาย เพราะการนำเข้าองุ่นในปัจจุบันนี้มีกรรมวิธีที่ทันสมัยกว่าเมื่อก่อนมาก ใช้เวลาเพียงไม่นานองุ่นก็สามารถมาถึงมือได้โดยที่แทบจะไม่มีรอยบอบช้ำอะไรเลย จึงได้ใช้ข้อดีตรงนี้กลบปมด้อย แล้วพัฒนาให้มันเป็นจุด ไม่จำเป็นต้องมี Vineyard เพื่อผลิตองุ่นเอง แต่ทดแทนด้วยนำเข้าจากหลายประเทศ คัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุด มาหมักบ่มเป็นไวน์ที่มีคุณค่าไม่แพ้การเก็บองุ่นจากไร่ด้วยตัวเอง

ยิ่งไปกว่านั้น ทางร้านยังคัดเลือกองุ่นหลายสายพันธุ์จากหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นปิโน นัวร์, กาแบร์เน โซวีญง, ชาร์ดอนเนย์ และแมร์โล รวมไปถึงพันธุ์องุ่นอื่น ๆ ที่ปลูกในแถบชิลี อเมริกา และออสเตรเลียอีกด้วย จึงทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยไวน์รสชาติเลิศ ที่ผสมผสานระหว่างการหมักแบบอังกฤษ แต่ก็ยังมีกลิ่นอายรสชาติแบบดั้งเดิมจากตัวองุ่น จึงเป็นที่มาของไวน์สไตล์ใหม่ ที่จะเรียกว่าไวน์อังกฤษก็เรียกได้ไม่เต็มปากนัก

RENEGADE LONDONWINERYบ้านหลังที่สองของคนรักไวน์ สัมผัสรสชาติละมุนท่ามกลางสถาปัตยกรรมแบบBritishEnglish

ในสมัยก่อนผู้ดีอังกฤษย่อมมาคู่กับการดื่มชา แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปTraditional ยังคงอยู่หากแต่ผสมผสานไปกับความ Modern มากขึ้น จึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยในอังฤกษเริ่มหันมาดื่มไวน์มากขึ้น เลยเกิดเป็นWinery หลายแห่งใจกลางกรุงลอนดอน และอีกหลายที่ทั่วเกาะอังกฤษ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม RENEGADE LONDONWINERY ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองของคนรักไวน์จากทั่วทุกมุมโลก เพราะมีบรรยากาศร้านที่อบอุ่น น่ารัก เป็นกันเอง ให้ความรู้สึกเหมือนคุณได้นั่งจิบไวน์ที่บ้าน

การคัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดและทำมันออกมาอย่างใส่ใจให้กับคนดื่ม เป็นแนวคิดที่สำคัญที่ร้านนี้ให้ความสำคัญ จนตอนนี้ RENEGADE LONDONWINERY กลายเป็นสถานที่ยอดนิยม คนรุ่นเก่าไปได้ คนรุ่นใหม่ไปดี ถ้าหากใครจะบินไปตอนนี้ต้องกระซิบนิดนึงว่าควรจองคิวล่วงหน้า ถ้าหากเดินดุ่ม ๆ ไประวังคนจะแน่นจนไม่ได้เข้าร้านนะ

สร้างบรรยากาศโรแมนติกพิชิตใจคู่เดทด้วยไวน์สีแซลมอนพิงค์จาก Le petite Rose

“โรเซ่ไวน์”มีหลากหลายยี่ห้อให้เราได้ทำความรู้จัก และใครหลายคนก็อาจจะมีตัวเลือกในใจอยู่แล้วว่าจะเลือกทานโรเซ่ไวน์จากตัวไหนหรือแบรนด์ใดแต่วันนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ “Le Petite Rose”โรเซ่ไวน์สีสวยที่ชนะการประกวดไวน์ที่ประเทศจีนเมื่อปี 2018 ที่นอกจากจะรสชาติเยี่ยมแล้ว มันยังช่วยสร้างบรรยากาศในการเดทให้โรแมนติกขึ้นได้อีกด้วย หนุ่ม ๆ สาว ๆ คนไหนที่กำลังมองหาตัวช่วยในการพิชิตใจคู่เดท ก็ไม่ควรมองข้ามไวน์ตัวนี้เลย

การคัดเลือกองุ่นในช่วงที่ดีที่สุด คือหัวใจสำคัญของการทำLe petite Rose

“Le Petite Rose”เป็นไวน์สัญชาติออสเตรเลีย โดยเจค็อป ครีก(Jacob Creek) เป็นหนึ่งในผู้ผลิต คิดค้น เจ้าไวน์ตัวนี้ขึ้นมา ไร่ของเขาอยู่ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย โดยเขาได้ทำการปักชำกิ่งองุ่นลงบนไร่ตัวเอง และดำเนินกิจการในการปลูก บ่มเพาะไวน์มาจนถึงปัจจุบันนี้ เขาตั้งใจที่จะทำให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสถึงกลิ่นอายของไวน์สไตล์ใหม่จากออสเตรเลียที่ผ่านการคัดเลือกวัตถุดิบมาอย่างพิถีพิถัน

เจค็อป ครีก(Jacob Creek)คิดว่าการที่จะทำให้ไวน์ออกมาอร่อยที่สุดไม่ได้อยู่ที่การหมักบ่ม แต่อยู่ที่การคัดเลือกองุ่นในช่วงที่อร่อยที่สุดออกมาบ่มเพาะ ในทุกฤดูเขาจะส่งทีมสำรวจที่มีความรู้ทางด้านองุ่นและไวน์ออกไปในทุกพื้นที่ของไร่ และทำการเก็บข้อมูลว่ารสชาติขององุ่นในช่วงนั้นมีรสชาติที่พร้อมจะเข้ากระบวนการต่อไปหรือยัง โดยรสชาตินั้นต้องไม่หวานโดด หรือให้ความเปรี้ยวโดด เปลือกองุ่นต้องยังอ่อนและไม่นิ่มจนเกินไป จึงจะสามารถเก็บผลผลิตออกมาดำเนินการหมักบ่มไวน์ได้ วิธีการเก็บก็มักจะเก็บด้วยมือ ป้องกันการเสียหายขององุ่น และทำให้องุ่นยังคงสดใหม่อยู่

โดยองุ่นที่ใช้สำหรับการทำ Le petite Rose คือองุ่นสายพันธุ์ปิโน นัวร์, มาทาโร และ เกรอนาจซึ่งกรรมวิธีการทำก็คือจะนำทั้งสามสายพันธุ์มาคัดเอาก้านออกอย่างเบามือ ก่อนจะนำไปเบลนด์ (Blend)และทำการหมักทิ้งไว้ให้ได้ที่ก่อนจะเข้าโรงบ่ม

Le petite Roseรสชาติ และวิธีการจับคู่อาหารให้อร่อย กลมกล่อม พิชิตใจคู่ควงของคุณ

เนื่องจาก Le Petite Rose เป็นไวน์ที่ให้รสชาติของค่อนเปรี้ยวอมหวาน สัมผัสเป็นแบบดราย และให้ความเบา นุ่ม ละมุนลิ้น สีภายนอกที่เห็นด้วยตาจะเป็นสีชมพูแซลมอนพิงค์ สีหวาน ๆ เหมาะแก่การเพิ่มบรรยากาศในการเดทให้โรแมนติกยิ่งขึ้น จึงควรเลือกทานคู่กับอาหารจำพวกพาสต้าเบา ๆ ที่ไม่ใช่พาสต้าครีมต่าง ๆ แต่อาจจะเป็นพาสต้าที่ผัดด้วยน้ำมันมะกอก ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยเล็กน้อยเป็นพอ

สลัดก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับการทานคู่กับ Le Petite Rose แถมยังดีต่อใจกับสาว ๆ อีกด้วยเพราะจะไม่ทำให้พวกเธออ้วน หรือถ้าไม่อยากทานคู่กับสลัด ก็สามารถเลือกเป็นอาหารทะเลได้ พอดีกับช่วงนี้ที่เทรนด์อาหารทะเลกำลังฮิตสุด ๆ หาทานได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก แถมบ้านเราก็ยังมีให้เลือกเพียบ

หากใครที่ชื่นชอบการดื่ม โรเซ่ไวน์ อยู่แล้ว ก็ไม่ควรที่จะพลาดLe Petite Roseให้เป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกที่ทำให้มื้ออาหารของคุณอร่อยมากขึ้น และให้เป็นอีกหนึ่งผู้ช่วย ที่จะมาทำให้ช่วงเวลาอันแสนวิเศษระหว่างคุณและคนรักน่าจดจำไปเนิ่นนาน

มารู้จักกับไวน์ของชาวโรมันในสมัยโบราณ ผ่านมุมมองของประวัติศาสตร์ชาติอิตาลี

หากกล่าวถึงประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกับไวน์แล้ว “อิตาลี” คงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ใครหลายคนจะนึกถึง อาจเป็นเพราะทุกคนคุ้นหูคุ้นตากับภาพของอาหารอิตาลีที่ประกอบไปด้วยพิซซ่า, สปาเก็ตตี้, ลาซานญ่า และไวน์ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ยังเป็นความจริงที่ว่า ไวน์ได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชนชาตินี้มาเป็นเวลานานนับพันปี โดยในบทความนี้จะขอกล่าวย้อนไปถึงไวน์ในยุคโรมันโบราณ

กรรมวิธีผลิตไวน์แบบชาวโรมันโบราณที่น่าสนใจ ภูมิปัญญาของผู้คนในอดีตกาล

หลายคนคงทราบกันดีว่า“กรุงโรม” คือเมืองหลวงของประเทศอิตาลี ในอดีต “จักรวรรดิโรมัน” หรือ “อารยธรรมโรมันโบราณ” คือหนึ่งในอารยธรรมแรก ๆ ที่รู้จักการผลิตและดื่มไวน์ ซึ่งครั้งหนึ่งจักรวรรดิโรมันเคยยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลครอบคลุมหลายประเทศทั่วยุโรป ช่วงเวลานั้นเองคือตอนที่วัฒนธรรมการปลูกไร่องุ่นและดื่มไวน์ได้มีโอกาสเผยแพร่ไปยังประเทศอื่น ๆ ด้วย เช่น ฝรั่งเศส, เยอรมัน, สเปน และอังกฤษ เป็นต้น

เพราะฉะนั้นอาจเรียกได้ว่าโรมันในสมัยโบราณคือหนึ่งในจุดเริ่มต้นของไวน์ที่เราควรให้ความสนใจ แน่นอนว่าในยุคนั้นมีกรรมวิธีการผลิตไวน์ที่แตกต่างจากยุคสมัยใหม่ ชาวโรมันในสมัยโบราณเรียนรู้ที่จะผลิตไวน์ด้วยวิธีการ “กด” พวกเขาได้ออกแบบเครื่องมือและขั้นตอนในการทำเพื่อให้ได้ไวน์ในหลากหลายคุณภาพ สำหรับคนในแต่ละชนชั้น ดังนี้

  1. ชาวโรมันเริ่มต้นด้วยการโยนองุ่นที่เก็บเกี่ยวมาเข้าไปในบริเวณที่เรียกว่า “Tabulatum” ซึ่งจากตรงนี้จะมีท่อเพื่อส่งต่อองุ่นไปยังส่วนต่อไป น้ำองุ่นที่ออกมาเองจากขั้นตอนนี้เรียกว่า “Protropum” และจะถูกใช้ในการผลิตไวน์คุณภาพดีที่สุดเพื่อคนชนชั้นสูง
  2. ต่อมาองุ่นก็จะถูกส่งไปยังบริเวณที่เรียกว่า “Forum Vinarium” ซึ่งจะมีคนงานใช้เท้าเปล่าเหยียบองุ่นเหล่านั้นเพื่อให้ได้น้ำองุ่นออกมา น้ำองุ่นที่ได้จากขั้นตอนนี้เรียกว่า “Mustum”
  3. จากนั้นน้ำองุ่น “Mustum” ก็จะถูกถ่ายเทไปยังโถหรือไหที่ทำหน้าที่เก็บกากใยต่าง ๆ เช่น ผิว, เมล็ด และก้าน
  4. น้ำองุ่นที่ปราศจากกากใยแล้ว จะถูกส่งต่อไปยังส่วนที่เรียกว่า “Lacti Musti” ซึ่งตั้งอยู่ขนาบข้างโถแยกกากทั้งสองฝั่ง บริเวณนี้จะเป็นพื้นที่ให้น้ำองุ่นได้ตกตะกอนและค่อย ๆ ไหลลงสู่โถขนาดใหญ่ เพื่อการหมักต่อไป
  5. องุ่นที่ถูกคั้นน้ำไปแล้วรอบหนึ่ง จะถูกโยนไปบริเวณ “Arca Lapidum” ซึ่งเป็นลานของแท่งหินปูนทรงกระบอกที่มีไม้ยื่นออกมา สิ่งนี้จะหมุนไปรอบ ๆ เพื่อให้กระทบกับองุ่น น้ำองุ่นในขั้นตอนนี้จะเรียกว่า “Mustum Tortivum” จะถูกใช้ในการผลิตไวน์คุณภาพต่ำ หรือทำไวน์ที่ใช้ในทางการแพทย์

เครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้ในงานสังสรรค์ โอกาสพิเศษที่ชาวโรมันโบราณจะดื่มไวน์ 

                เมื่อมีการผลิตขึ้นมาแล้วก็ต้องมีการบริโภค ชาวโรมันในสมัยโบราณจะดื่มไวน์ในงานเลี้ยงขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “Convivium” ในงานก็จะมีการเสิร์ฟอาหารที่ดีและหายาก มีโชว์ดนตรีและการเล่นกายกรรม รวมทั้งการแสดงการต่อสู้เพื่อสร้างความบันเทิงให้แขกเหรื่อ ไวน์ที่ใช้เสิร์ฟจะอยู่ในโถขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “Krater” และก่อนดื่มก็จะมีการผสมไวน์กับน้ำเปล่าก่อน ความพิเศษคือแขกทุกคนจะมีถ้วยของตัวเอง และสามารถเลือกสัดส่วนของไวน์และน้ำเปล่าตามใจชอบได้ ทำให้ไวน์ของทุกคนก็จะมีรสชาติหรือความเข้มข้นแตกต่างกันนั่นเอง

                ประวัติศาสตร์ชาติอิตาลี หรือข้อมูลเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณในช่วงที่จักรวรรดิโรมันรุ่งเรือง คือเครื่องพิสูจน์ชั้นดีว่าไวน์คือเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับมนุษย์มานานแล้ว แม้ว่าจะทำไปโดยความตั้งใจหรือไม่ หากไม่มีชาวโรมันเผยแพร่วัฒนธรรมในสมัยก่อน โลกก็อาจจะไม่ได้รู้จักไวน์ดีแบบทุกวันนี้

Bay Grape พิเศษกว่าร้านไวน์ธรรมดา แหล่งแลกเปลี่ยนและสานสัมพันธ์ผู้คน

Bay Grape เป็นชื่อของร้านไวน์ที่ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐขนาดใหญ่ที่มีประชากรมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังเป็นรัฐที่มีพื้นที่ติดกับชายฝั่งทะเล เมื่อลองพิจารณาตามนี้แล้วก็ดูจะสอดคล้องดีกับการที่ร้านมีชื่อว่า “Bay Grape” อันมีความหมายตรงตัวว่า “อ่าวองุ่น” ความพิเศษของสถานที่แห่งนี้ที่สมควรได้รับการกล่าวถึง คือแนวคิดเกี่ยวกับจุดประสงค์ของร้าน ที่ออกแบบมาเพื่อให้เป็นสถานที่สำหรับสานสัมพันธ์ผู้คน ผ่านการทำกิจกรรม พบปะสังสรรค์ พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องไวน์และเรื่องอื่น ๆ ร่วมกัน

จำหน่ายไวน์ในบรรยากาศผ่อนคลาย Bay Grape เปลี่ยนคนแปลกหน้าให้กลายเป็นเพื่อน

                ร้าน Bay Grape เป็นธุรกิจของสองสามี-ภรรยาที่มีชื่อว่า Josiah Baldivino และ Stevie Stacionis ก่อนหน้าที่จะเปิดร้านนี้ ทั้งคู่ได้สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับธุรกิจไวน์และอาหารมานานกว่า 20 ปี Josiah ซึ่งเป็นสามีเริ่มต้นเส้นทางอาชีพเครื่องดื่มตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย ด้วยการได้ลองเป็นอินเทิร์นของร้านไวน์ชื่อดัง “Silverlake Wine” ในลอสแองเจลิส หลังนั้นชีวิตของเขาก็ได้เกี่ยวพันกับไวน์และอาหารมาเรื่อย ๆ จนย้ายมาอยู่ที่บริเวณอ่าวนี้เมื่อปีค.ศ.2011

สำหรับ Stevie ซึ่งเป็นภรรยาก็ได้มีประสบการณ์ทำงานในร้านอาหารตามรัฐต่าง ๆ เป็นเวลานานถึง 7 ปี และในระดับมหาวิทยาลัยก็ได้เลือกเรียนด้านการสื่อสารเป็นสาขาหลัก พ่วงด้วยจิตวิทยาเป็นสาขารอง หลังจากนั้นก็ได้มีประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวพันกับการเขียน, การสื่อสาร และการตลาดมาโดยตลอด เมื่อได้ทราบประวัติของพวกเขา ก็จะทำให้เราเข้าใจได้ว่า Bay Grape คือผลลัพธ์จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาอย่างแท้จริง ด้วยความรู้ ความสามารถ และความตั้งใจที่พวกเขามี จึงทำให้ร้านนี้กลายเป็นสถานที่ที่พิเศษ ไม่ใช่เพียงร้านขายไวน์ธรรมดา แต่ยังเป็นศูนย์รวมของผู้คนที่ชื่นชอบไวน์และอาหารได้มีโอกาสทำความรู้จักกัน

ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทางร้านจำหน่าย ก็จะมีตั้งแต่ White, Red, Ro, Sparkling, Fortified & Sweet, Beer และ Cider โดยลูกค้าจะซื้อกลับบ้าน หรือเปิดดื่มที่ร้านพร้อมพูดคุยกับแขกคนอื่น ๆ ก็ได้ แต่เนื่องด้วยข้อบังคับจากใบอนุญาติสุรา ทำให้ร้าน Bay Grape มีข้อจำกัดว่าไม่สามารถจำหน่ายให้ลูกค้าที่มีอายุต่ำกว่า 21 ปีได้  

Classes & Tastings เข้าคลาสเรียนรู้และทำกิจกรรมเกี่ยวกับไวน์ใน Bay Grape

                เพื่อลูกค้าที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับไวน์ ทางร้าน Bay Grape จึงได้จัดคลาสเรียนและกิจกรรมขึ้นมา โดยคลาสเรียนในแต่ละวันก็จะมีบทเรียนหรือกิจกรรมที่ต่างกันไป เช่น วันจันทร์จะเป็น Blind Tasting Class และ วันพุธจะเป็น Seasonal Pairings Tastings เป็นต้น คลาสเรียนเหล่านี้ไม่ได้มีทุกวัน แต่สำหรับผู้ที่สนใจจะเข้าร่วมก็สามารถติดตามรายละเอียดตารางเรียนของแต่ละสัปดาห์ได้ในเว็บไซต์ของร้าน นอกจากนี้ที่ร้านยังมีบริการรับเป็นโฮสต์ในการจัดปาร์ตี้, งานแต่งงาน หรืองานสังสรรค์อื่น ๆ ที่ต้องการบาร์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

                การได้อยู่ท่ามกลางคนที่มีความชอบในเรื่องเดียวกัน รวมทั้งได้พูดคุยและทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน คงทำให้เกิดความรู้สึกสนุกสนานได้ไม่ยาก Bay Grape คงเป็นอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับผู้ที่ชื่นชอบไวน์ได้เสมอ

Flatiron Wines & Spirits ศูนย์รวมของไวน์และสุรานอกกระแสจากทั่วทุกมุมโลก

Flatiron Wines & Spirits คือชื่อของร้านขายไวน์และสุราในสหรัฐอเมริกา โดยมีเพียง 2 สาขาเท่านั้น ได้แก่ สาขานิวยอร์กและสาขาซานฟรานซิสโก ด้วยสถานที่ตั้งของร้านที่อยู่ในย่านสำคัญของประเทศ คงทำให้เดาได้ไม่ยากว่าร้านนี้เป็นร้านหนึ่งที่โด่งดังพอสมควร ด้วยเอกลักษณ์ของร้านที่เน้นรวบรวม และจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกกระแสจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจและแวะเวียนเข้ามาเลือกซื้อสินค้าจากที่นี่เสมอ 

แม้เป็นไวน์และสุรานอกกระแสแต่ก็มีคุณภาพ Flatiron Wines & Spirits คัดกรองให้

                ร้าน Flatiron Wines & Spirits มีแนวคิดที่ว่า ในเมื่อร้านไม่มีทางที่จะรวบรวมไวน์และสุราจากทุกยี่ห้อบนโลกได้อยู่แล้ว ร้านจึงพยายามหลีกเลี่ยงสินค้าที่มาจากระบบโรงงานอุตสาหกรรม และเน้นสินค้านอกกระแสแทน คำว่าไวน์และสุรานอกกระแสในที่นี้ หมายความว่าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มาจากผู้ผลิตรายเล็กและครอบครัวเป็นหลัก เพราะสินค้าจากผู้ผลิตเหล่านี้จะมีความเป็นเอกลักษณ์ และแสดงให้เห็นถึงคุณค่าด้านประเพณีผ่านกระบวนการทำได้มากว่า

ถึงแม้จะเป็นสินค้าที่ผลิตจากบริษัทเล็ก ๆ หรือเป็นอุตสาหกรรมครอบครัว แต่ก็มั่นใจได้ว่าเครื่องดื่มเหล่านี้มีคุณภาพ ปลอดภัย และสามารถเชื่อถือได้ ด้วยกระบวนการทำแบบออร์แกนิกและไบโอไดนามิก ซึ่งหมายความว่าเป็นกรรมวิธีธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีการควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมระหว่างการขนส่งสินค้าจากผู้ผลิตไปยังร้าน Flatiron Wines & Spirits ในส่วนของสินค้าทั้งหมดที่อยู่ในคลังนั้นจะถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ และจะมีการตรวจสอบไวน์เก่าก่อนที่จะนำเสนอให้ลูกค้าเสมอ

เนื่องจากเป็นไวน์และสุราที่มาจากผู้ผลิตรายเล็ก สินค้าจึงมักจะมีจำนวนจำกัดและถูกขายออกอย่างรวดเร็ว ทางร้านจึงแนะนำให้ผู้ที่สนใจสมัครเป็นสมาชิกในเว็บไซต์ เพื่อที่จะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อมีสินค้าเข้ามาใหม่นั่นเอง

Flatiron Wines & Spirits กับช่องทางการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์

                ในยุคที่โลกออนไลน์เข้ามามีบทบาทกับชีวิตผู้คนมากขึ้น ช่องทางการซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป เช่นเดียวกันกับร้านค้าส่วนมาก Flatiron Wines & Spirits ก็มีเว็บไซต์และบริการสั่งสินค้าออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ไม่สามารถเดินทางไปที่หน้าร้านได้ โดยในเว็บก็จะมีการแบ่งสัญชาติของไวน์และสุรา เช่น Italy, Germany, Austria, Spain, France และ Portugal เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการจัดแบ่งตามเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น สินค้าที่มีราคาต่ำกว่า 20 ดอลลาร์สหรัฐ และ สินค้าที่มาใหม่ เป็นต้น         

สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกเดินทางไปที่ร้าน ช่องทางซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ก็คงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม แต่ถ้าหากใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวถึงสหรัฐอเมริกา การเข้าไปซื้อสินค้าที่ร้าน Flatiron Wines & Spirits ด้วยตัวเองก็คงเป็นทางเลือกที่ดีและน่าจดจำไม่น้อย เพราะการได้ยืนอยู่ ณ สถานที่จริงและเลือกเครื่องดื่มที่ชื่นชอบด้วยตัวเอง ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกสุขใจได้แน่นอน

All Saints Estate Winery ผลิตและจำหน่ายไวน์หลายประเภทอย่างมีคุณภาพ

เมื่อกล่าวถึงบริษัทผลิตไวน์ หลายคนอาจจะนึกถึงประเทศแถบทวีปยุโรปและอเมริกาเป็นหลัก แต่ในบทความนี้จะกล่าวถึงไวน์สัญชาติออสเตรเลีย ประเทศที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากไทยนัก All Saints Estate Winery คือบริษัทไวน์ในประเทศออสเตรเลียที่ก่อตั้งโดย George Sutherland Smith และ John Banks ตั้งแต่ปีค.ศ.1864 นับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทไวน์ที่ค่อนข้างเก่าแก่ เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าของสถานที่ก็มีการเปลี่ยนมือไปบ้าง จนวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ.2005 เป็นต้นมา 3 พี่น้องตระกูล Brown  ก็ได้รับหน้าที่บริหารจัดการบริษัทต่อจากคุณพ่อที่เสียชีวิตอย่างกะทันหัน

ผลิตไวน์ทุกประเภท จำหน่ายหลายขนาดและรูปแบบใน All Saints Estate Winery

All Saints Estate Winery คือธุรกิจครอบครัวของ 3 พี่น้องตระกูล Brown ได้แก่ Eliza, Angela และ Nicholas โดยแต่ละคนก็มีตำแหน่งหน้าที่แตกต่างกันไป โดยแต่ละคนมีหน้าที่คร่าว ๆ ดังนี้ Eliza พี่สาวคนโตมีตำแหน่งเป็น CEO, Angela น้องสาวคนรองมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการด้านการตลาด และ Nicholas น้องชายคนเล็กมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไป ที่ทำการดูแลด้านการผลิตไวน์และไร่องุ่น

                บริษัทนี้ทำการผลิตและจำหน่ายไวน์ทุกประเภท ในหลากหลายขนาดและรูปแบบ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคทุกคน ตั้งแต่การผลิตไวน์ประเภท Sparkling, Red, White, Rosé และ Fortified และแน่นอนว่าสามารถเลือกสไตล์ของไวน์ได้ว่าจะเป็น Sweet หรือ Dry สำหรับเรื่องของขนาดหรือปริมาณก็มีให้เลือกถึง 6 ขนาด เริ่มตั้งแต่เล็กสุด 50 มิลลิลิตร ไปจนถึงใหญ่สุด 1.5 ลิตร ที่มีชื่อเรียกว่า “Magnums” เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อน         

นอกจากนี้ก็ยังมีการจำหน่ายในรูปแบบ Wine Club Collection อีกด้วย เช่น Winter Collection ซึ่งในคอลเลกชันหนึ่งจะประกอบด้วยไวน์ 6 ขวด อาจเป็นไวน์ประเภทเดียวกันหมดหรือผสมหลาย ๆ ประเภทก็ได้ สำหรับผู้ที่อยากลิ้มลองไวน์ของ All Saints Estate Winery แต่ไม่สามารถเดินทางไปถึงที่ร้านได้ ทางบริษัทก็มีบริการส่งให้ฟรีถ้าซื้อถึงขั้นต่ำที่กำหนดไว้

ดื่มไวน์อายุ 100 ปี ในบรรยากาศปราสาทเก่ากับ All Saints Estate Winery

ในบรรดาไวน์ทุกประเภทที่บริษัทผลิตขึ้นมา ไวน์ประเภท Fortified รุ่น NV All Saints Estate Museum Muscat และ NV All Saints Estate Museum Muscadelle คงเป็นไวน์ 2 รุ่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะทั้งคู่เป็นไวน์ที่มีอายุโดยเฉลี่ยมากถึง 100 ปี ทำให้รับรองได้ว่าเป็นไวน์ที่มีรสชาติลุ่มลึก เมื่อดื่มแล้วจะสามารถรับรู้ได้ถึงความอร่อยที่ซับซ้อน จากการที่ไวน์และแอลกอฮอล์กลั่นได้ผสมผสานกันเป็นอย่างดี โดยราคาของไวน์ทั้ง 2 รุ่น อยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์ออสเตรเลียต่อขวด หรือประมาณ 20,000 กว่าบาทไทย

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ All Saints Estate Winery คือสถานที่ที่มีความงดงาม จากตัวอาคารที่เป็นปราสาทเก่าแก่ สร้างขึ้นโดยอ้างอิงแบบจาก “The Castle of Mey” ปราสาทนี้มีขนาดใหญ่ถึง 4,500 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยชั้นใต้ดิน, โรงกลั่นเหล้าองุ่น, ร้านอาหารบนชานระเบียง, ห้องโถงใหญ่ และ ห้องโถงที่มีถังไม้หมักไวน์ รวมถึงบริเวณรอบนอก เช่นไร่องุ่นที่มีความสวยงามไม่แพ้กัน ทำให้ที่นี่ยังมีบริการรับจัดงานเลี้ยง งานแต่งงาน หรืองานสังสรรค์อื่น ๆ อีกด้วย

                หากต้องการลิ้มรสไวน์หลากหลายประเภทที่มีคุณภาพและรสชาติอร่อย ในบรรยากาศที่สวยงามตระการตา All Saints Estate Winery คงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย หากได้ลองดูแล้วคุณอาจจะพบว่าไวน์ดี ๆ ไม่ได้มีแค่ในทวีปยุโรปและอเมริกา