Category Archives: สาระน่ารู้

Nebbiolo องุ่นไวน์แดง แห่งบาโลโรและบาร์เรสโก ภูเขาแดนเหนือของอิตาลี

ภูมิภาคทางตอนเหนือของอิตาลีที่เรียกว่า Piedmont คือแหล่งกำเนิดขององุ่นไวน์แดงที่มีชื่อสายพันธ์ว่า “แนบบิโอโล” (Nebbiolo) เป็นองุ่นที่สามารถต้านทานต่อการเน่าและโรคราน้ำค้างได้อย่างดี ในส่วนของอาณาจักรที่มีชื่อเสียงสำหรับไวน์บาโรโลและบาร์บาเรสโก ซึ่งเป็นแหล่งที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลได้จากการจำหน่ายไวน์ที่มีมูลค่าหลายร้อยดอลลาร์ต่อหนึ่งขวด

องุ่นเนบบิโอโล ได้ทำให้เกิดความหลากหลายในยุคของ “ไวน์โลกใหม่” และในปัจจุบันมีการปลูกที่อยู่นอกจากบาโรโลและบาร์บาเรสโกแล้ว ก็ยังมีโรงบ่มไวน์เพียงไม่กี่แห่งในสหรัฐอเมริกา, แม็กซิโก, ชิลี, อาร์เจนตินา, บราซิล, อุรุกกวัย, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์อีกด้วย

ความหายากที่กลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดของ Nebbiolo

เพราะว่าไวน์เนบบิโอโล นั้นสามารถผลิตได้ในไม่กี่หมู่บ้านในภูมิภาค Piedmont ของอิตาลี ซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คือ บาโรโล (Barolo) และ บาร์เรสโก (Barbaresco) และเนบบิโอโลเป็นองุ่นเพียงองุ่นเดียวที่ใช้ในการทำไวน์ระดับไฮเอนด์ มีความโดดเด่นด้วยแทนนินเข้มข้น มีความเป็นกรดสูงและกลิ่นที่ชัดเจนคล้าย “ทาร์และดอกกุหลาบ” สิ่งนี้ทำให้ไวน์เนบบิโอโล ขึ้นแท่นเป็นไวน์ชั้นยอดที่สำหรับการเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษและเหมาะสมที่จะถูกถนอมไว้ในขวดไวน์ระดับโลก

ในช่วงเวลาหนึ่งเนบบิโอโลมีแนวโน้มเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ นั่นก็คือ ไวน์เนบบิโอโลส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีอ่อนจากที่เคยเข้ม, เปลี่ยนจากสีม่วงทับทิมไปเป็นสีส้มอิฐสดใส

รสชาติของไวน์ Nebbiolo

การได้ชิมไวน์เนบบิโอโล อาจเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ เพราะกลิ่นของดอกไม้และผลไม้สีแดงอ่อนทำให้กลิ่นของไวน์ละมุนกว่าที่คุณคิดอยู่มาก เมื่อได้ลองจิบไวน์เนบบิโอโล คุณก็จะได้สัมผัสถึงแทนนินเป็นอันดับแรก ที่ส่งความฝาดไปสู่ต่อมรับรสตั้งแต่โคนลิ้นจนย้อนกลับมาที่ริมฝีปากของคุณ แต่รสชาติของผลไม้ อย่างเชอร์รี่และราสเบอร์รี่ของไวน์ ผสมกับกลิ่นของดอกกุหลาบเจือโป๊ยกั๊กจะเข้ามาช่วยให้เกิดความรู้สึกตื่นตัวและสดชื่นอยู่เสมอ

สำหรับในช่วงเวลาที่อุณหภูมิต่ำลงของปี ไวน์เนบบิโอโลจะมีรสชาติของบิตและแครนเบอร์รี่รสเปรี้ยว, ผลกุหลาบป่าและแร่ดินสีแดงอีกด้วย

อาหารที่เหมาะกับ Nebbiolo

ด้วยกลิ่นที่ละเอียดอ่อนของเนบบิโอโล แต่ยังคงมีปริมาณของแทนนินอยู่ด้วย คุณจึงควรมองหาอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณไขมันมากกว่าส่วนของเนื้อ เพราะไขมันจะช่วยดูดซับความฝาดของแทนนินได้อย่างพอดี และความเป็นกรดของไวน์ ก็ทำให้มีการจับคู่กับอาหารที่มีกรดสูงด้วยความเค็ม อย่างเช่น น้ำสลัดที่ที่เพิ่มไขมันหรือน้ำมันมะกอกเพื่อให้กลมกลืนกับปริมาณแทนนินของไวน์ อาทิ เนื้อแกะย่างสมุนไพร, เป็ดรมควันกับเห็นป่า หรือลิ้นจี่ ผักโขมสดกับเห็ดทรัฟเฟิลสีขาว

Chambourcin องุ่นลูกผสม กลิ่นหอมยวนใจแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์

การพัฒนาสายพันธุ์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตไวน์นั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดสายพันธุ์องุ่นที่ต่างก็มีความโดดเด่นและหลากหลายรสชาติเกิดขึ้น ผลที่ตามมาก็คือความรุ่นเรืองของอุตสาหกรรมไวน์ในปัจจุบัน เพราะเมื่อมีองุ่นพันธุ์ดีที่เป็นวัตถุดิบหลักในการใช้ผลิตไวน์แล้ว ก็จะได้น้ำไวน์ที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ซึ่งในบทความนี้อยากกล่าวถึงองุ่นพันธุ์ผสมที่เป็นหนึ่งในองุ่นสายพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนา จนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองจนเป็นที่กล่าวขานในหมู่นักชิมไวน์ต่อ ๆ กันมาตั้งแต่ปี 1970 องุ่นที่กล่าวถึงก็คือ องุ่นสายพันธุ์แชมบัวร์ซิน (Chambourcin) นั่นเอง

แชมบัวร์ซินเป็นองุ่นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างองุ่นพันธุ์ฝรั่งเศส-อเมริกัน ที่นิยมอย่างมากในการนำมาผลิตไวน์ แชมบัวร์ซิน ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความต้านทานโรคเชื้อราเป็นอย่างมาก ซึ่งพัฒนาขึ้นในแถบลุ่มแม่น้ำลัวร์ ของประเทศฝรั่งเศส แชมบัวร์ซินได้ถูกนำมาทำไวน์ครั้งแรกเมื่อปี 1963 โดย Joannes Seyve ผู้ซึ่งเป็นสมาชิกหนึ่งในครอบครัวที่มีชื่อเสียงในด้านการพัฒนาสายพันธุ์องุ่นที่ใช้ผลิตไวน์

ไวน์ที่มาจากแชมบัวร์ซิน กลายเป็นไวน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปี 1970 ในแถบภูมิภาค Bordeaux และ Loire Valley ของฝรั่งเศส และยังคงเป็นไวน์แดงอันดับต้น ๆ ที่ถูกนึกถึงอยู่เสมอจนถึงปัจจุบัน

แหล่งปลูกองุ่นและผลิตไวน์แชมบัวร์ซิน

องุ่นแชมบัวร์ซิน มีการปลูกมากที่สุดในภูมิภาคอเมริกาเหนือ กลางมหาสมุทรแอตแลนติกในภูมิอากาศเย็น สำหรับไร่องุ่นก็ยังสามารถหาได้ในนิวยอร์ก, นิวเจอร์ซี, นอร์ธ แคโรไรน่าและเพนซิเวเนียร์ ในส่วนของรัฐอื่น ๆ ที่ยังคงมีปลูกองุ่นแชมบัวร์ซินให้เห็น ได้แก่ เวอร์จิเนีย, แมริแลนด์, มิชิแกน, เวสต์ เวอร์จิเนีย, อิลลินอยส์, อินดีแอนาและมิสซูรี่ รวมถึงออสเตรเลียและฝรั่งเศสที่ทราบกันดีว่าองุ่นแชมบัวร์ซินนั้นเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี ทำให้ไวน์แชมบัวร์ซินที่ผลิตในออสเตรเลียมีความเข้มข้น ถูกใจผู้ที่ชื่นชอบดื่มไวน์เป็นอย่างมาก

ในทางกลับกัน ประเทศในแถบยุโรปจะไม่ได้รับอนุญาตให้มีการผสมองุ่นสายพันธุ์ดั้งเดิมกับองุ่นพันธุ์ผสม จึงเป็นผลให้ประเทศฝั่งยุโรปไม่สามารถจำหน่ายไวน์ที่ผลิตจากแชมบัวร์ซินได้อย่างแพร่หลาย

ความโดดเด่นของแชมบัวร์ซินที่หาได้ยากในองุ่นลูกผสม

ไวน์ที่ผลิตจากแชมบัวร์ซิน จะมีสีเข้มและมีกลิ่นหอม ซึ่งแตกต่างจากองุ่นลูกผสมสายพันธุ์อื่น ๆ แชมบัวร์ซินนั้นสามารถนำไปผลิตได้ทั้ง ไวน์จืด (Dry Wine) และไวน์หวาน (Sweet Wine) ด้วยปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในแชมบัวร์ซินนั้น มีความหวานที่พอเหมาะ คุณจะได้ดื่มด่ำกับไวน์แดงเข้มข้นแม้จิบเพียงแค่นิดเดียว

ไวน์แชมบัวร์ซิน เข้ากันได้ดีกับอาหารหลากหลาย ตั้งแต่แฮมเบอร์เกอร์ เนื้อลูกวัว ไปจนถึงอาหารปลา อย่าง ทูน่า, ปลาอิโต้มอญ (Mahi-mahi), ปลาฉนาก (Swordfish) และปลาลิ้นหมา เมื่อพูดถึงของหวาน ไวน์แชมบัวร์ซิน มักจับคู่กับของหวานที่ทำจากช็อคโกแลต สีเข้ม ๆ ของไวน์เหมาะสำหรับบรรยากาศการรับประทานอาหารค่ำในช่วงเย็นอันแสนโรแมนติก รสชาติขององุ่นและช็อคโกแลตสามารถเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว

องุ่น Lacrima หยดน้ำตาอันแสนล้ำค่าที่กลายมาเป็นไวน์ Lacrima di Morro d’Alba

ประเทศอิตาลียังคงเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ที่มีแหล่งผลิตไวน์รสชาติดี เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น อย่างเช่นในดินแดนแถบตะวันออก ระหว่างเทือกเขา Apennine และทะเล Adriatic มีแคว้นมาร์เค่ (Marche) ที่เป็นขุมทรัพย์ในการปลูกองุ่นพันธุ์พื้นเมืองโบราณที่มีชื่อสายพันธุ์ว่า Lacrima ต้นกำเนิดของชื่อองุ่นพันธุ์นี้เกิดขึ้นจากลักษณะทางกายภาพภายนอกที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าที่ว่า ผลขององุ่นเมื่อสุกจะเป็นรูปคล้ายหยดน้ำหรือน้ำตา ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาพื้นที่ปลูก Lacrima ได้ลดจำนวนลงอย่างมาก ทำให้หลงเหลือพื้นที่ปลูกไร่องุ่น Lacrima อยู่ใน Morro d’Alba เป็นส่วนใหญ่

แคว้นมาร์เค่สามารถผลิตไวน์ได้หลากหลายชนิด มีผลิตภัณฑ์มากถึง 13 ที่ได้รับฉลาก D.O.C (Denominazione di Origine Controllata) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าในบอดี้ของไวน์จะต้องมีองุ่นอย่างน้อย 85% และต้องเป็นองุ่นพันธุ์พื้นเมืองที่ไม่ได้รับการปรับแต่งสายพันธุ์แต่อย่างใด ส่วนกรรมวิธีการผลิตก็ยังคงใช้เทคนิคการหมักแบบคาร์บอนิก จนได้ไวน์สดที่มีกลิ่นหอมรุนแรงและรสอยู่ในระดับปานกลางเป็นธรรมชาติ ก่อนนำมาเก็บรักษาไว้ในถังไม้โอ๊คทำให้เกิดการบ่มจนมีรสชาติที่ดีขึ้น ผลคือได้ไวน์ชั้นยอดที่เกิดจากผลของ Lacrima อันโด่งดัง มีชื่อว่า Lacrima di Morro d’Alba (ลาคริม่า ดิ มอร์โร่ ดัลบ้า)

องุ่น Lacrima เป็นองุ่นที่ชอบภูมิอากาศแบบเขตอบอุ่น เนื่องจากไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศที่เลวร้ายและราสีเทาได้เป็นเวลานาน Lacrima ชื่นชอบแหล่งที่มีแดด ซึ่งจะส่งผลให้มีกลิ่นหอมในขณะที่ยังคงความเป็นกรดไว้ได้ เป็นการช่วยรักษาสมดุลของไวน์ เปลือกของผลองุ่นจะบาง แน่นอนว่าจะมีผลต่อความอ่อนโยนของแทนนิน ที่ดูเหมือนว่าไวน์ที่ได้จาก Lacrima จะเป็นสีอ่อน แต่ความจริงคือได้ไวน์ที่เป็นสีเข้ม

สี กลิ่นและรสของไวน์ Lacrima di Morro dAlba

Lacrima di Morro d’Alba เป็นไวน์แดงสีทับทิมเข้มที่แอบแฝงด้วยเฉดสีม่วง ทำให้ได้รับกลิ่นหอมที่โดดเด่น ความอบอวลของกลิ่นที่วิวัฒนาการมาจากสตรอเบอร์รี่, เชอรี่, แบล็กเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่ ด้วยบอดี้ของ Lacrima di Morro d’Alba นั้นอยู่ในระดับปานกลาง ก็จะทำให้เพดานของคุณรับรู้ถึงความดรายของแทนนินที่เจือปนอยู่ได้เป็นอย่างดี

การจับคู่ของ Lacrima di Morro dAlba กับอาหารมื้อโปรด

เมื่อองุ่น Lacrima ถูกทำมาเป็นไวน์ Lacrima di Morro d’Alba และถูกนำออกมาเสิร์ฟคู่กับอาหาร เพื่อให้มื้อนั้นกลายเป็นมื้ออาหารชั้นยอดของคุณได้ ซึ่ง Lacrima di Morro d’Alba สามารถเข้าได้ดีกับผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น เช่น เนื้อซาลามี่และ Ciauscolo, Medium-aged cheeses, พาสต้ากับซอสสีแดง เช่น ซอสเนื้อ, เนื้อแกะและกระต่ายย่าง และสามารถนำ Lacrima di Morro d’Alba มาทำเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้ด้วย ถ้าหากนำมาหมักกับปลาน้ำเงิน เมื่อจบการรับประทานอาหารมื้อนั้นแล้ว คุณอาจจะได้พบความสุขที่ลืมไม่ลงก็เป็นได้

“ดู ดม ดื่ม ดำ” 4 ดอ ที่จะทำให้คุณสุขไปกับไวน์ได้มากขึ้น

ไวน์เป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งทีได้รับความนิยมสูงทั้งในบ้านเราและต่างประเทศ แต่บางคนอาจคิดว่าไวน์มีกรรมวิธีการทำและดื่มที่ยาก อีกทั้งราคายังสูง ดู ๆ แล้วเป็นเครื่องดื่มที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย เลยไม่กล้าลองชิมดูอีกสักที ทว่าหากมองให้ดี ไวน์มีประเภทที่หลากหลาย และมีวิธีอีกมากมายนอกจากการดื่มที่จะซึมซาบรสชาติและความเป็นไวน์ ที่เมื่อลองพิจารณาอีกทีก็อาจจะอยากลองแกว่งก้านแก้วไวน์ดูสักครั้ง

เริ่มต้นดื่มไวน์

                วิธีการดื่มไวน์ที่ถูกต้อง ก็ไม่ใช่ว่าเทพรวด ๆ ยกกระดกดื่มแล้วจบ เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้มาจากการหมักผลไม้ชนิดนี้ละเอียดอ่อน อย่างแรกที่ต้องทำหลังจากรับแก้วไวน์มาไว้ในมือ คือการ “ดู” เพราะในส่วนของบอดี้ของไวน์ ซึ่งดูจากสี และความขุ่น ซึ่งเป็นตัวบอกปริมาณความเข้มของไวน์ที่เรากำลังจะลิ้มรส มีบอดี้หนัก-เบาเพียงใด

                ขั้นตอนต่อไป คือการแกว่งเพื่อให้กลิ่นของไวน์ออกมา อีกทั้งต้องไม่ลืมสังเกตสีของไวน์ที่กำลังไหลวนอยู่ไม่เกินปากแก้ว ความเหลวหนืดของเนื้อไวน์ เพราะจะเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่ทำให้ทราบปริมาณของน้ำตาลและแอลกอฮอล์ในแก้วได้อีกด้วย และพอเมื่อแกว่งขาแก้วเบา ๆ จนกลิ่นลอยขึ้นมา คราวนี้แหละที่เราต้อง “ดม” ยิ่งกลิ่นแรงแสดงว่าไวน์มีความเข้มข้นสูง อีกทั้งกลิ่นยังสามารถบอกได้ถึงเครื่องเทศ หรือผลไม้ชนิดต่าง ๆ ที่หลอมรวมมาเป็นไวน์แต่ละหยดให้เราได้อีกด้วย

                พอมาถึงขั้นตอนการ “ดื่ม” ก็ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าไม่ใช่การเทกรอกลงปากไหลลงสู่ลำคอเหมือนเวลาเราดื่มน้ำเปล่า เพราะการดื่มไวน์ควรเป็นแค่การจิบเท่านั้น เพราะเพียงแค่การจิบ ก็จะทำให้เราได้รับรู้รส ความหวาน เปรี้ยว ฝาด เฝื่อน ของไวน์นั้น ๆ ความเข้มข้นของรสชาติ ที่สอดคล้องกันกับกลิ่นที่เราได้รับรู้

                มาถึงขั้นตอนสุดท้าย คือการ “ดำ” ที่หมายถึงดำดิ่งไปกับรสชาติของไวน์ ที่อบอวลอยู่ในปาก คุณภาพของไวน์อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือความยาวนานของรสชาติ ซึ่งถ้ารสนั้นเวียนวนอยู่ในปากของคุณนานเกินกว่าห้าวินาที ก็นับเป็น Long finish ของไวน์ ที่บ่งบอกคุณภาพได้พอสมควร

ไวน์ไหนดี

                หากท่านเป็นผู้เริ่มต้นในการดื่มไวน์ ซึ่งยังไม่สันทัดในรสชาติและความแตกต่างของแต่ละยี่ห้อมากนัก ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ VWIN แนะนำว่า การเริ่มต้นจากไวน์ราคาเบา ๆ ดื่มง่าย ๆ หรือเป็นพวกไวน์ผลไม้ ดูจะเป็นประตูทางเข้าสู่ขวดไวน์ที่สวยงามและดึงดูดใจมากกว่า ไวน์ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด หรือร้านสะดวกซื้อง่าย ๆ ก็เพียงพอต่อการลิ้มรสไวน์สักแก้ว

                แต่หลังจากนั้น ไวน์ผลไม้อาจเป็นตัวเลือกรอง ๆ ในการก้าวสู่การดื่มขั้นต่อ ๆ ไป เพราะไวน์ที่หมักจากผลไม้แตกต่างชนิดกัน ย่อมให้รสชาติและสัมผัสที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะไวน์ที่หมักด้วยองุ่น 100% ที่นอกจากจะอร่อยนุ่มลึกแล้ว เมื่อดื่มในปริมาณที่พอเหมาะก็ดีกับร่างกายอีกด้วย

ไวน์ไม่ใช่เครื่องดื่มที่ดูเข้าถึงยากอย่างที่หลายคนเข้าใจ ถึงแม้ความละเอียดซับซ้อนของขั้นตอนในการดื่มจะทำให้เราไม่สามารถดื่มในปริมาณที่เยอะ ๆ ทีเดียวได้ แต่การค่อย ๆ ละเลียดรสชาติของไวน์ในระหว่างมื้ออาหารและคอยประคองบทสนทนานั้นก็เป็นเสน่ห์ชูโรงตัวสำคัญที่ทำให้ไวน์ได้รับความนิยมอยู่เรื่อยมา

Cork เปลือกไม้สำหรับทำจุกไวน์ ความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ของสิ่งเล็ก ๆ

Cork เปลือกไม้สำหรับทำจุกไวน์ ความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ของสิ่งเล็ก ๆ

“Wine Cork” หรือ “จุกก๊อกไวน์” เป็นส่วนประกอบเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งของขวดไวน์ ที่บางคนอาจไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไรนัก และมองว่าเป็นเพียงปราการสุดท้ายที่ขวางกั้นระหว่างตนและน้ำองุ่นหมักข้างใน แต่ในความเป็นจริงแล้วจุกไม้เล็ก ๆ นี้มีคุณค่าและความเป็นมาที่น่าสนใจมากพอ ๆ กับไวน์เลยทีเดียว จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าสิ่งนี้ทำมาจากเปลือกของต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในประเทศโปรตุเกส จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ากระบวนการตัดเปลือกไม้นี้ต้องทำด้วยมือเท่านั้น มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่รอให้เราได้รับรู้ เพื่อให้เข้าใจคุณค่าในทุกองค์ประกอบของไวน์อย่างแท้จริง

Cork Tree ต้นไม้สำคัญของโปรตุเกส กับวิธีการตัดเปลือกไม้แบบยั่งยืน

Cork เป็นต้นไม้ประจำชาติของประเทศโปรตุเกส เป็นต้นไม้ท้องถิ่นที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศ ด้วยสภาพแวดล้อม, ความชื้นในอากาศ และอุณหภูมิความร้อนที่เหมาะสม ทำให้ 35% ของจำนวนต้น Cork ทั้งหมดในโลกอยู่ที่ประเทศโปรตุเกส ซึ่งจุกก๊อกไม้ของไวน์ก็ทำมาจากเปลือกของต้นไม้ชนิดนี้นั่นเอง เจ้าของป่าได้ให้สัมภาษณ์ว่า ด้วยการที่ต้นไม้มีอายุยาวนานได้ถึง 200 ปี ทำให้ต้นไม้ที่เขาดูแลอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นต้นเดียวกันกับที่บรรพบุรุษรุ่นก่อน ๆ ของเขาเคยดูแลเช่นกัน

ส่วนวิธีการตัดเปลือกไม้ก็เปรียบเสมือนการทำงานศิลปะ เจ้าของป่าและคนงานจำนวนหนึ่งที่ทำหน้าที่ตัดเปลือกไม้ได้ให้ข้อมูลว่า งานนี้เป็นงานที่ยาก เป็นทักษะที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น คนงานต้องเริ่มเรียนรู้วิธีการตัดและฝึกฝนมาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็ก การตัดเปลือกต้น Cork นี้เป็นงานที่ต้องทำด้วยมือเท่านั้น ปกติต้นหนึ่งจะช่วยกันทำ 2 คน โดยจะเริ่มด้วยการใช้ขวานจามให้เป็นรอยเพื่อกำหนดขนาดแผ่นไม้ ต่อมาจึงจามพร้อมบิดให้เปลือกไม้แตกออกจากเนื้อไม้ แล้วก็ใช้ด้านข้างของใบมีดแซะเปลือกไม้ออกมาจากลำต้น

สิ่งที่ต้องพึงระวังที่สุดคือการตัดเปลือกแบบไม่ให้โดนเนื้อไม้ข้างใน เพราะถ้าโดนก็จะเป็นการทำร้ายต้น Cork และเปิดช่องว่างให้แมลงกับโรคต่าง ๆ เข้าไปในต้นไม้ได้ ภายหลังการตัดเปลือกไม้ไปใช้ ต้นไม้ต้นนั้นก็จะได้รับการปล่อยทิ้งไว้อีก 9 ปีเลยทีเดียวกว่าจะกลับมาตัดอีกครั้ง เพื่อให้ต้นไม้ได้พักซ่อมแซมตัวเองจนแข็งแรง และนี่ก็คือวิธีการใช้ประโยชน์จากต้นไม้แต่พอดี โดยคำนึงถึงความยั่งยืนเป็นสำคัญ

จากเปลือกไม้สู้จุกก๊อก เส้นทางการแปรรูปให้ได้ Wine Cork ที่มีคุณภาพ

เปลือกไม้ที่ตัดมาแบบดิบ ๆ จะถูกส่งต่อไปยังโรงงานทำจุกก๊อก โดยจะมีกระบวนการหมักเนื้อไม้ทิ้งไว้ 1-2 เดือน เมื่อครบกำหนดก็จะเอาเปลือกไม้ลงไปต้มในน้ำเดือดแบบเร็ว ๆ หลังจากนั้นก็จะทำการตัดแผ่นไม้ออกเป็นท่อน แล้วจึงใช้เครื่องจักรเจาะเนื้อของท่อนไม้เหล่านั้นให้ออกมาเป็น Wine Cork แบบที่เราเห็นกัน เมื่อได้จุกก๊อกแล้วโรงงานก็จะทำการคัดแยกออกเป็นเกรดต่าง ๆ รวมทั้งทำการตรวจสอบอีกมายมายหลายขั้นตอน เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นจุกก๊อกที่มีคุณภาพ ได้ขนาดตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่มีรูหนอนไช และไม่ทำให้กลิ่นหรือรสของไวน์เปลี่ยน

กว่าจะได้จุกก๊อกไวน์สักชั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการดูแลรักษาและตัดเปลือกต้น Cork นั้นต้องใช้เวลาและความชำนาญ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องทำด้วยใจที่เคารพและให้เกียรติธรรมชาติ รู้จักรักษาให้มากเท่ากับที่นำไปใช้ เพื่อให้ต้นไม้เหล่านี้ยังคงมีอยู่ต่อไปในอนาคต

เลือกไวน์ทำอาหารให้ถูกประเภท เพิ่มรสชาติที่ลุ่มลึกขึ้นให้อาหารจานโปรด

ความจริงแล้วการทำอาหารอาจเรียกเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งก็ว่าได้ เพราะสำหรับพ่อครัวหรือแม่ครัวมืออาชีพ การทำอาหารคงเป็นมากกว่าการนำเอาวัตถุดิบที่มีมายำรวมกันแล้วปรุงรสแบบง่าย ๆ หากแต่เป็นการดึงเอารสชาติที่ดีที่สุดของวัตถุดิบนั้นออกมา ด้วยวิธีการที่เหมาะสมที่สุด การใช้ “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ในการปรุงรสอาหาร เป็นศาสตร์ที่มีมานานแล้วทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก เช่น การใช้มิรินของประเทศญี่ปุ่น, การใช้เหล้าจีนของประเทศจีน, หรือการใช้ “ไวน์” ของประเทศในทวีปยุโรปทั้งหลาย โดยไวน์นั้นมีหลายประเภท อีกทั้งยังสามารถใส่ได้ในทั้งอาหารคาวและหวาน

อยากให้อาหารออกมาอร่อย ใช้ Regular Drinking Wines ดีกว่า Cooking Wines

“ไวน์” เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งที่ผู้คนจากทั่วโลกนิยมดื่มกัน นอกจากนี้ก็ยังนิยมนำมาใช้ในการทำอาหารทั้งคาวและหวานอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นได้ว่าไวน์ที่วางขายอยู่ในตลาด จะมีทั้ง “Regular Drinking Wines” และ “Cooking Wines” หรือที่หมายความว่า “ไวน์ที่ใช้สำหรับดื่มทั่วไป” และ “ไวน์ที่ใช้สำหรับการทำอาหาร” แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ ความจริงแล้วการใช้ไวน์สำหรับดื่มในการทำอาหาร จะได้รสชาติที่ดีกว่าการใช้ไวน์ทำหรับทำอาหารโดยเฉพาะ

เมื่อคิดตามแล้วอาจทำให้เกิดความสับสน แต่ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไวน์สำหรับดื่มจะมีรสชาติและคุณภาพที่ดีกว่าไวน์สำหรับทำอาหาร หากใครเคยลองชิมไวน์สำหรับทำอาหารจะพบว่ามีรสชาติที่เค็มมากกว่าไวน์ปกติ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าไวน์สำหรับทำอาหาร จะมีโซเดียมและสารกันบูดมากกว่าไวน์สำหรับดื่ม เพื่อให้สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ในบางครั้งไวน์สำหรับทำอาหารก็ทำมาจากไวน์ที่ไม่ผ่านมาตรฐานปกติ

ดังนั้นเราจึงควรใช้ไวน์ที่ชอบดื่มในการปรุงรส เพื่อให้ได้รสชาติอาหารที่อร่อยลุ่มลึกมากกว่า เช่นเดียวกับคำกล่าวที่ว่า “Don’t cook with something you won’t drink” หรือที่แปลว่า “อย่าทำอาหารด้วยสิ่งที่เราจะไม่ดื่ม” นั่นเอง    

ไวน์แบบไหนเหมาะกับอาหารจานใด เพิ่มความเข้าใจเพื่อการเลือกใช้ให้ถูกต้อง

                นอกจากการเลือกใช้ไวน์ที่มีคุณภาพในการทำอาหารอย่าง “ไวน์สำหรับดื่ม” แล้ว การเลือกใช้ไวน์ให้ถูกประเภทก็เป็นเรื่องสำคัญ ต่อไปจึงจะกล่าวถึงไวน์ 6 ประเภทที่เหมาะสมกับการทำอาหารจานต่าง ๆ ดังนี้

  1. Dry Red & White Wines สำหรับทำสตูว์เนื้อ, ครีมซุป, อาหารทะเล หรือทำเป็นซอสพื้นฐาน
  2. Dry Nutty/Oxidized Wines สำหรับทำน้ำเกรวี่เห็ดเพื่อราดบนเนื้อไก่และหมู หรือใช้กับเนื้อปลาและกุ้ง
  3. Sweet Nutty/Oxidized Wines สำหรับทำน้ำเชื่อมเพื่อขนมหวาน, คาราเมล หรือไอศกรีมวานิลลา
  4. Sweet Fortified Red Wines (Port) สำหรับทำซอสช็อกโกแลต, เค้กช็อกโกแลต หรือซอสของสเต็ก    
  5. Sweet White Wines สำหรับทำลูกแพร์ตุ๋นไวน์, ซอสหวานในทาร์ตผลไม้ หรือซอสเนยหวานเพื่อราดเนื้อปลาและกุ้ง
  6. Rice Wine สำหรับหมักเนื้อสัตว์ต่าง ๆ หรือทำซอสบาร์บีคิว

จะเห็นได้ว่ารสชาติและคุณลักษณะของไวน์แต่ละประเภท มีความสอดคล้องกับเมนูอาหารที่จะทำ ดังเช่นที่ปรากฏด้านบนว่าไวน์ที่จะนำมาทำขนมก็จะเป็นประเภทที่มีรสชาติหวาน เป็นต้น  

ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทของเครื่องดื่มหรือเครื่องปรุงรส ไวน์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ทุกคนไม่ควรพลาด ด้วยเอกลักษณ์ทั้งด้านกลิ่น รสชาติ และรสสัมผัส เลือกใช้ไวน์ที่ชอบกับประเภทอาหารที่ใช่ เพื่อสร้างรสชาติที่ถูกปากให้กับอาหารจานโปรดของคุณ

Wine with girl มาแนะนำไวน์ที่เหมาะกับสาว ๆ มือใหม่หัดดื่มไวน์กัน

                ไวน์ถือเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผู้หญิงชื่นชอบ เพราะให้ความรู้สึกที่มีเสน่ห์ มีรสนิยม และสามารถใช้ในการเข้าสังคมได้ หรืออาจจะเป็นความชอบโดยส่วนตัว และที่สำคัญก็คือการดื่มไวน์ในปริมาณที่พอเหมาะนั้นให้ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้ดีกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น เพราะในไวน์มีสารจำพวกต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสามารถช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ เดี๋ยวนี้จึงจะเห็นสาว ๆ หลายคนเลือกที่จะเริ่มหันมาดื่มไวน์แทนการดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่นกันมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่สำหรับสาว ๆ คนไหนที่กำลังสนใจอยากจะมาลิ้มลองไวน์ดูบ้าง วันนี้เราจะมาแนะนำไวน์ที่เหมาะกับมือใหม่กัน

อย่างที่รู้กันว่าร่างกายของผู้หญิงนั้นค่อนข้างบอบบางกว่าคุณผู้ชาย รวมไปถึงการสลายแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปด้วย ทำให้ผู้หญิงมักจะดื่มได้น้อยกว่าและมึนเมาได้มากกว่านั่นเอง เพราะฉะนั้นไวน์ที่เหมาะกับคุณผู้หญิงโดยเฉพาะมือใหม่หัดดื่มจึงควรเป็นไวน์ที่ปริมาณแอลกอฮอล์ไม่มากจนเกินไปและมีรสชาติที่ค่อนข้างดื่มง่ายก่อน อย่างไวน์ขาวแบบต่าง ๆ ที่จะมีรสชาติที่เปรี้ยวหวานนำมากกว่าไวน์แดง ที่จะมีรสฝาดมากกว่า หรือจะลองเป็นสปาร์คกลิ้งไวน์ แชมเปญ หรือไวน์โรเซ่ที่เป็นไวน์มีฟองและให้ความรู้สึกที่สดชื่น กลิ่นหอม และดื่มง่ายซึ่งมีหลากหลายแบบให้ได้เลือกลิ้มลอง และหากไม่อยากลองดื่มเฉพาะไวน์อย่างเดียว แนะนำให้ลองดื่มคู่กับอาหาร ผลไม้ หรือขนมที่เข้ากันดู เพราะไวน์จำพวกไวน์ขาวหรือสปาร์คกลิ้งไวน์จะสามารถทานกับอาหารที่รสชาติไม่หนัก อาหารเบา ๆ เช่น สลัด หรืออาหารจำพวกเนื้อปลาได้ดี จึงเหมาะเป็นเครื่องดื่มคู่กับอาหารสำหรับสาว ๆ ที่กำลังดูแลสุขภาพเป็นพิเศษที่ไม่อยากทานอาหารมื้อหนักจนเกินไปได้เป็นอย่างดี แต่หากสาว ๆ คนไหนที่ชอบรสชาติที่หนัก ๆ ขึ้นมาหน่อย ก็อาจจะลองเลือกไวน์แดงมาจิบดูก็ได้ ก็จะได้รสชาติที่แตกต่างออกไปจากไวน์ขาวโดยเฉพาะรสสัมผัสที่จะมีความฝาดและมีความเข้มข้นไปอีกแบบ

                และสำหรับสาว ๆ มือใหม่นั้นควรเริ่มต้นที่การดื่มที่วันละประมาณ 1 – 2 แก้วก่อน เพราะอย่าลืมว่าอย่างไรแล้วไวน์ก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ หากดื่มมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีได้ เพราะฉะนั้นควรเริ่มต้นที่ปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป แล้วถึงค่อย ๆ เพิ่มปริมาณไปทีละนิดจะดีว่า เพราะเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการดื่มไวน์ก็คือการค่อย ๆ ดื่มเพื่อให้ได้รับรู้ถึงรสสัมผัสทั้งกลิ่นและรสชาติที่แท้จริงของไวน์นั่นเอง รู้แบบนี้แล้วต่อไปสาว ๆ ก็อย่าลืมไปลองเลือกไวน์ที่แนะนำไปมาดื่มดูได้เลย รับรองว่าจะต้องหลงรักเครื่องดื่มสุดคลาสสิกที่เรียกว่าไวน์นี้อย่างแน่นอน

Category : สาระน่ารู้

Tag : ดื่มไวน์, เลือกไวน์, ไวน์ขาว

https://bit.ly/2EocZIG

แนะนำไวน์รสชาติดีงาม เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบดื่มไวน์

ไวน์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ด้วยเอกลักษณ์โดดเด่น เป็นเครื่องดื่มที่ทำมาจากผลไม้ รสชาติหอมหวาน กลิ่นหอมองุ่นเย้ายวน พร้อมทั้งยังมีรสชาติเข้ากับอาหารแทบจะทุกประเภท แต่ด้วยความที่ไวน์มีรสชาติฝาดอย่างชัดเจน อาจจะทำให้ใครหลายคนไม่ค่อยชอบดื่มไวน์ได้ เรามีเคล็ดลับการเลือกไวน์ พร้อมทั้งไวน์ที่อยากจะแนะนำให้ผู้ที่ไม่ชอบดื่มไวน์ได้ลอง เผื่อจะเปลี่ยนใจหันมาชอบไวน์กัน

ควรเลือกไวน์ที่มีรสหวานหรือรสผลไม้ดี?

องุ่นที่นำมาผลิตไวน์มีกลิ่นหอมจากผลไม้ที่โดดเด่นก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไวน์ทุกชนิดจะมีความหวานเหมือนกับผลไม้ นั้นก็หมายความว่าไวน์แต่ละตัว แต่ละชนิด แต่ละแหล่งกำเนิด ต่างก็มีความหวานและรสชาติเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป ตัวไวน์เองถูกอธิบายรสชาติโดยรวมไว้ว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีรสออกหวาน ฝาดปนหวานเล็กน้อย ไปจนถึงฝาด ทางเทคนิคแล้ว รสหวานเกิดจากน้ำตาลที่คงอยู่ในตัวไวน์ ซึ่งจะมีตั้งแต่ระดับ 0 = ฝาดที่สุด ไปจนถึง 10 = หวานที่สุด

ดังนั้น หากคุณไม่ชอบดื่มไวน์เพราะรสฝาดที่ไม่เป็นมิตรกับลิ้น เราขอแนะนำตัวอย่างไวน์แดง ไวน์ขาว ที่มีรสหวานหอมราวกับผลไม้ให้ลองชิมกัน มีอะไรบ้าง มาดูกันเลย

1.Cavit Moscato

Moscato กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้ ไวน์ตัวนี้เหมาะสำหรับนักดื่มไวน์มือใหม่เป็นที่สุด เราขอแนะนำไวน์จาก Moscato สไตล์อิตาเลี่ยน เพราะว่ามันมีทั้งรสหวานและรสฝาดนิด ๆ ที่แสนจะสมบูรณ์แบบและลงตัว

2.Chateau Ste Michelle Riesling

ไวน์ที่มีรสผลไม้โดดเด่น ผสมผสานระหว่าง Riesling และ Washington ซึ่งปลูกจาก Columbia Valley ทำให้ได้ไวน์ Chateau Ste Michelle กลายเป็นไวน์ที่ถูกผลิตขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้นและสดชื่น มีรสฝาดปานกลาง โดยองุ่นสายพันธุ์ Riesling จะทำให้ได้ไวน์ที่มีความเป็นกรดค่อนข้างสูง ช่วยขับรสหวานให้โดดเด่นขึ้น

3.Cavit Roscato

Roscato เป็นไวน์แดงที่เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับรสชาติของไวน์ ไวน์ตัวนี้จะมีความหวาน และมีความซ่าเล็กน้อย จากดินแดน Lombardy ที่อยู่ทางภาคเหนือของอิตาลี โดยไวน์ตัวนี้ผลิตจากองุ่นทั้งหมด 3 สายพันธุ์ ทั้ง Croatina, Teroldego และ Lagrein ทำให้ได้ไวน์ที่เหมาะกับอาหารเกือบทุกประเภท

4.Cabernet Sauvignon

ไวน์ที่มีความเข้มข้น ถึงแม้ว่าจะมีรสฝาดและความเป็นกรดเล็กน้อย แต่ก็มีกลิ่นหอมที่โดดเด่นของผลไม้ ตั้งแต่เบอร์รี่นานาชนิดไปจนถึงลูกพลัม Cabernet Sauvignon ยังมีกลิ่นหอมของวานิลา ช็อกโกแลต มะพร้าวและเครื่องเทศสำหรับอบขนม ขึ้นอยู่กับว่าผลิตจากที่ไหน บางคนอาจจะคิดว่าไวน์ตัวนี้มีรสเข้มไปสักหน่อย แต่ก็สมกับเป็นไวน์ดี

แม้ว่าไวน์เหล่านี้จะมีกลิ่นหวานของผลไม้ค่อนข้างสูง มีรสฝาดอันเป็นรสชาติเฉพาะตัวของไวน์ต่ำ แต่ก็ยังมีความเป็นไวน์อยู่ดี หากคุณได้ลิ้มลองไวน์เหล่านี้แล้วและไม่ค่อยชอบ ก็อาจจะหมายความว่าคุณอาจจะไม่เหมาะกับการดื่มไวน์จริง ๆ ก็ควรลองดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่นแทนการดื่มไวน์ เช่น เบียร์ วิสกี้ หรือวอดก้า เป็นต้น

มือใหม่อยากลองดื่มไวน์มาทางนี้ แนะนำการเลือกไวน์และไวน์สำหรับเริ่มต้นดื่มไวน์

เมื่อคุณเป็นมือใหม่ในวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยอดนิยมอย่างไวน์ คุณอาจจะสับสนและมึนงงกับไวน์ชนิดต่างๆ ยี่ห้อของไวน์ ประเทศที่ผลิตและศัพท์ทางเทคนิคต่างๆ มากมาย จริงๆ แล้วคุณไม่จำเป็นที่จะต้องจำคำศัพท์อะไรมากนัก เพียงแค่ต้องทำความเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้

ความหวาน ไวน์ที่มีความหวานเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์ หากคุณอยากลองชิมไวน์ที่มีรสหวาน ลองเลือกไวน์ที่มีเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ค่อนข้างสูงสักหน่อยเพื่อที่จะช่วยดึงความหวานของไวน์ออกมาได้ดียิ่งขึ้นแม้จะไม่ได้มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบมากนักก็ตาม

แทนนิน เป็นสารที่พบหลัก ๆ ในไวน์แดงและมักจะติดอยู่ที่ฟันของคุณเหมือนกับหมากฝรั่งหลังจากที่คุณกลืนไวน์ลงไป และทิ้งรสขมติดลิ้น ซึ่งรสชาติแบบนี้อาจจะทำให้ผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์ไม่ค่อยประทับใจกับไวน์ไปเลย ดังนั้นหากคุณเริ่มต้นดื่มไวน์ ก็ควรที่จะเลือกไวน์ที่มีแทนนินต่ำก่อน

ความเป็นกรด ไวน์ทำจากองุ่นซึ่งเป็นผลไม้ ในผลไม้นั้นมีกรดเป็นส่วนประกอบ ทำให้ได้รสชาติที่สดชื่น ลองถามตัวเองก่อนว่าคุณชอบเครื่องดื่มที่มีรสจัดหรือมีความเปรี้ยวมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะเป็นตัวช่วยในการเลือกดื่มไวน์ที่เหมาะกับคุณมากที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์มักจะไม่ชอบไวน์ที่มีความเป็นกรดหรือมีรสเปรี้ยวมากนัก

ไวน์ 3 ตัวที่เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์

  1. Prosecco

เป็นไวน์แบบ sparkling wine หรือไวน์ซ่าที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Glera โดยจะเป็นไวน์ขาวที่มีฟองฟู่ข้างใน มีรสผลไม้ชัดเจนและมีความหวานเล็กน้อย พร้อมกับรสชาติที่สดชื่นขององุ่นเขียวและองุ่น ยิ่งไปกว่านั้น Prosecco ไม่มีแทนนินและมีความเป็นกรดต่ำ

  1. Chardonnay

Chardonnay เป็นชื่อองุ่นขาวและไวน์ที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ดังกล่าว โดยไวน์ที่ทำจากองุ่น Chardonnay จะมีรสแอปเปิ้ลและลูกแพร์ พร้อมกับกลิ่นเนย ขนมปังปิ้งและต้นโอ๊ก ปกติแล้ว Chardonnay จะมีรสฝาด ไม่ค่อยออกหวานเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังมีกลิ่นผลไม้ ไม่มีแทนนินเพราะว่าเป็นไวน์ขาว

  1. Pinot Noir

Pinot Noir เป็นไวน์แดงที่ได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ เพราะมีรสชาติเบา มีแทนนินต่ำพร้อมกับรสชาติของเบอร์รี่และเชอร์รี่ ถึงแม้ว่าจะมีรสชาติออกฝาด ไม่ได้หวานมากนัก ไวน์ตัวนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบไวน์ขาวแต่อยากลองดื่มไวน์แดงดูบ้าง

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะลิ้มลองไวน์รสชาติแสนอร่อย แต่ยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องไวน์และและไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนเพื่อที่ได้ลองทานไวน์ที่เหมาะกับคุณมากที่สุด ก็ควรจะเริ่มจากไวน์ที่มีรสชาติอ่อนๆ และมีรสหวานของผลไม้ชัด พอชินแล้ว จึงค่อยลองไวน์ที่มีรสชาติฝาดขึ้น รับรองว่าคุณจะค่อย ๆ หลงรักไวน์โดยไม่รู้ตัว

วิธีการชิม Champagne ให้ได้รสชาติดีที่สุดแบบมือโปร

แชมเปญเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติดีและมีความหรูหรา และเป็นเครื่องดื่มที่ใช้ในพิธีการเฉลิมฉลอง คงจะดีไม่ใช่น้อยหากเราได้ลิ้มลองรสชาติที่แท้จริงของแชมเปญอย่างถูกต้อง ทำให้ได้ลิ้มรสสุดยอดแห่ง Sparkling wine แห่งแคว้นแชมเปญของฝรั่งเศสได้อย่างเต็มที่ เราขอแนะนำวิธีการลิ้มลองแชมเปญแบบมีคุณภาพอย่างไม่ซับซ้อน แต่รับรองว่าจะทำให้คุณอร่อยกับแชมเปญได้แบบผู้เชี่ยวชาญเรื่องไวน์มืออาชีพที่มีชื่อเรียกว่า Sommeliers กันเลยทีเดียว

ปกติแล้วการชิมไวน์ทั่วไปจะต้องอาศัยสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ ทั้งฟังเสียง สัมผัส มองดูรูปลักษณ์ ดมกลิ่นและชิมรสชาติ ซึ่งการชิมแชมเปญก็ต้องอาศัยสัมผัสทั้ง 5 ดังกล่าวมานี้เหมือนกัน โดยขั้นตอนการชิมไวน์คร่าว ๆ จะมีทั้งหมด 5 ขั้นตอนด้วยกัน

สังเกตุเสียงจุกไม้ก๊อก

เมื่อเปิดขวดแชมเปญโดยการนำจุกไม้ก๊อกออกมา เสียงเวลาที่จุกไม้ก๊อกออกมาจากขวดไม่ควรจะเป็นเสียงดัง ป็อป! แต่ควรจะเป็นเสียงซ่าเบา ๆ เพราะว่าแชมเปญที่มีเสียงป็อปดัง ๆ ตอนที่ดึกจุกไม้ก๊อกออก เป็นสัญญาณที่บอกว่าแชมเปญบ่มมายังไม่เข้าที่ดีหรืออุ่นเกินกว่าที่จะดื่มได้

สัมผัสขวดไวน์และจุกไม้ก๊อกเสียก่อน

ลองสัมผัสที่ขวดแชมเปญก่อนเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิ โดยขวดจะต้องไม่อุ่นหรือเย็นจนเกินไป แต่ควรจะเย็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และอย่าลืมลองสัมผัสจุกไม้ก๊อก แชมเปญที่มีคุณภาพดีมักจะมีจุกไม้ก๊อกที่ชื้นเล็กน้อย ไม่แห้งกรังหรือสาก ๆ ซึ่งมักจะเกิดจากการวางขวดแชมเปญเป็นแนวตั้งในการจัดเก็บ และเมื่อจุกไม้ก๊อกแห้งและจะทำให้มันหดตัวลง ส่งผลให้อากาศเข้าไปได้และทำให้ตัวแชมเปญด้อยคุณภาพลงได้

ลองสังเกตุตัวแชมเปญ

เมื่อเทแชมเปญลงในแก้วแล้ว ลองยกแชมเปญขึ้นมาระดับสายตาและเอียงไปด้านข้างประมาณ 45 องศา โดยตัวน้ำแชมเปญควรจะมีความใสหรือขุ่นเล็กน้อย สีไม่สดและสีออกเหลืองทอง และฟองของแชมเปญควรจะมีเล็กใหญ่สลับกันไป ไปจะต้องฟู่อย่างมีชีวิตชีวา

ดมกลิ่นแชมเปญสักหน่อย

ถึงแม้ว่าแชมเปญจะเป็นไวน์ชนิดหนึ่ง แต่เราไม่จำเป็นจะต้องหมุนแก้วอย่างรวดเร็วเพื่อให้รับกลิ่นของไวน์ได้อย่างชัดเจนเหมือนกับไวน์ขาวหรือไวน์แดง ฟองของแชมเปญจะช่วยทำให้กลิ่นหอมเฉพาะตัวของแชมเปญลอยขึ้นมาด้านบนได้เป็นอย่างดี โดยคุณเพียงแค่นำแชมเปญมาไว้ตรงปลายจมูกและหายใจเข้าเพื่อที่จะรับกลิ่นเข้าไปอย่างชัดเจน โดยคุณจะได้กลิ่นหอมออกฟรุตตี้ กลิ่นดอกไม้ แร่ธาตุและกลิ่นยีสต์

ดื่มด่ำไปกับรสชาติของแชมเปญ

ในการดื่มแชมเปญ ควรจะจิบเบา ๆ ไม่ควรดื่มมากเกินไปหรือดื่มเป็นอึกใหญ่ ๆ เพื่อที่จะค่อย ๆ รับกลิ่นไปพร้อมกับสัมผัสรสชาติอันนุ่มละมุนของแชมเปญ

วิธีการชิมแชมเปญอย่างถูกต้องที่เรานำมาแนะนำนี้เป็นเพียงแค่วิธีคร่าว ๆ ที่จะทำให้ผู้ที่อยากลองชิมแชมเปญได้มีความสุขไปกับเครื่องดื่มที่หรูหราชนิดนี้ได้อย่างดียิ่งขึ้น อย่างไรก็อย่าลืมลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ดูนะ