Category Archives: สาระน่ารู้

มือใหม่อยากลองดื่มไวน์มาทางนี้ แนะนำการเลือกไวน์และไวน์สำหรับเริ่มต้นดื่มไวน์

เมื่อคุณเป็นมือใหม่ในวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยอดนิยมอย่างไวน์ คุณอาจจะสับสนและมึนงงกับไวน์ชนิดต่างๆ ยี่ห้อของไวน์ ประเทศที่ผลิตและศัพท์ทางเทคนิคต่างๆ มากมาย จริงๆ แล้วคุณไม่จำเป็นที่จะต้องจำคำศัพท์อะไรมากนัก เพียงแค่ต้องทำความเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้

ความหวาน ไวน์ที่มีความหวานเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์ หากคุณอยากลองชิมไวน์ที่มีรสหวาน ลองเลือกไวน์ที่มีเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ค่อนข้างสูงสักหน่อยเพื่อที่จะช่วยดึงความหวานของไวน์ออกมาได้ดียิ่งขึ้นแม้จะไม่ได้มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบมากนักก็ตาม

แทนนิน เป็นสารที่พบหลัก ๆ ในไวน์แดงและมักจะติดอยู่ที่ฟันของคุณเหมือนกับหมากฝรั่งหลังจากที่คุณกลืนไวน์ลงไป และทิ้งรสขมติดลิ้น ซึ่งรสชาติแบบนี้อาจจะทำให้ผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์ไม่ค่อยประทับใจกับไวน์ไปเลย ดังนั้นหากคุณเริ่มต้นดื่มไวน์ ก็ควรที่จะเลือกไวน์ที่มีแทนนินต่ำก่อน

ความเป็นกรด ไวน์ทำจากองุ่นซึ่งเป็นผลไม้ ในผลไม้นั้นมีกรดเป็นส่วนประกอบ ทำให้ได้รสชาติที่สดชื่น ลองถามตัวเองก่อนว่าคุณชอบเครื่องดื่มที่มีรสจัดหรือมีความเปรี้ยวมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะเป็นตัวช่วยในการเลือกดื่มไวน์ที่เหมาะกับคุณมากที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์มักจะไม่ชอบไวน์ที่มีความเป็นกรดหรือมีรสเปรี้ยวมากนัก

ไวน์ 3 ตัวที่เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์

  1. Prosecco

เป็นไวน์แบบ sparkling wine หรือไวน์ซ่าที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Glera โดยจะเป็นไวน์ขาวที่มีฟองฟู่ข้างใน มีรสผลไม้ชัดเจนและมีความหวานเล็กน้อย พร้อมกับรสชาติที่สดชื่นขององุ่นเขียวและองุ่น ยิ่งไปกว่านั้น Prosecco ไม่มีแทนนินและมีความเป็นกรดต่ำ

  1. Chardonnay

Chardonnay เป็นชื่อองุ่นขาวและไวน์ที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ดังกล่าว โดยไวน์ที่ทำจากองุ่น Chardonnay จะมีรสแอปเปิ้ลและลูกแพร์ พร้อมกับกลิ่นเนย ขนมปังปิ้งและต้นโอ๊ก ปกติแล้ว Chardonnay จะมีรสฝาด ไม่ค่อยออกหวานเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังมีกลิ่นผลไม้ ไม่มีแทนนินเพราะว่าเป็นไวน์ขาว

  1. Pinot Noir

Pinot Noir เป็นไวน์แดงที่ได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ เพราะมีรสชาติเบา มีแทนนินต่ำพร้อมกับรสชาติของเบอร์รี่และเชอร์รี่ ถึงแม้ว่าจะมีรสชาติออกฝาด ไม่ได้หวานมากนัก ไวน์ตัวนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบไวน์ขาวแต่อยากลองดื่มไวน์แดงดูบ้าง

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะลิ้มลองไวน์รสชาติแสนอร่อย แต่ยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องไวน์และและไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนเพื่อที่ได้ลองทานไวน์ที่เหมาะกับคุณมากที่สุด ก็ควรจะเริ่มจากไวน์ที่มีรสชาติอ่อนๆ และมีรสหวานของผลไม้ชัด พอชินแล้ว จึงค่อยลองไวน์ที่มีรสชาติฝาดขึ้น รับรองว่าคุณจะค่อย ๆ หลงรักไวน์โดยไม่รู้ตัว

วิธีการชิม Champagne ให้ได้รสชาติดีที่สุดแบบมือโปร

แชมเปญเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติดีและมีความหรูหรา และเป็นเครื่องดื่มที่ใช้ในพิธีการเฉลิมฉลอง คงจะดีไม่ใช่น้อยหากเราได้ลิ้มลองรสชาติที่แท้จริงของแชมเปญอย่างถูกต้อง ทำให้ได้ลิ้มรสสุดยอดแห่ง Sparkling wine แห่งแคว้นแชมเปญของฝรั่งเศสได้อย่างเต็มที่ เราขอแนะนำวิธีการลิ้มลองแชมเปญแบบมีคุณภาพอย่างไม่ซับซ้อน แต่รับรองว่าจะทำให้คุณอร่อยกับแชมเปญได้แบบผู้เชี่ยวชาญเรื่องไวน์มืออาชีพที่มีชื่อเรียกว่า Sommeliers กันเลยทีเดียว

ปกติแล้วการชิมไวน์ทั่วไปจะต้องอาศัยสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ ทั้งฟังเสียง สัมผัส มองดูรูปลักษณ์ ดมกลิ่นและชิมรสชาติ ซึ่งการชิมแชมเปญก็ต้องอาศัยสัมผัสทั้ง 5 ดังกล่าวมานี้เหมือนกัน โดยขั้นตอนการชิมไวน์คร่าว ๆ จะมีทั้งหมด 5 ขั้นตอนด้วยกัน

สังเกตุเสียงจุกไม้ก๊อก

เมื่อเปิดขวดแชมเปญโดยการนำจุกไม้ก๊อกออกมา เสียงเวลาที่จุกไม้ก๊อกออกมาจากขวดไม่ควรจะเป็นเสียงดัง ป็อป! แต่ควรจะเป็นเสียงซ่าเบา ๆ เพราะว่าแชมเปญที่มีเสียงป็อปดัง ๆ ตอนที่ดึกจุกไม้ก๊อกออก เป็นสัญญาณที่บอกว่าแชมเปญบ่มมายังไม่เข้าที่ดีหรืออุ่นเกินกว่าที่จะดื่มได้

สัมผัสขวดไวน์และจุกไม้ก๊อกเสียก่อน

ลองสัมผัสที่ขวดแชมเปญก่อนเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิ โดยขวดจะต้องไม่อุ่นหรือเย็นจนเกินไป แต่ควรจะเย็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และอย่าลืมลองสัมผัสจุกไม้ก๊อก แชมเปญที่มีคุณภาพดีมักจะมีจุกไม้ก๊อกที่ชื้นเล็กน้อย ไม่แห้งกรังหรือสาก ๆ ซึ่งมักจะเกิดจากการวางขวดแชมเปญเป็นแนวตั้งในการจัดเก็บ และเมื่อจุกไม้ก๊อกแห้งและจะทำให้มันหดตัวลง ส่งผลให้อากาศเข้าไปได้และทำให้ตัวแชมเปญด้อยคุณภาพลงได้

ลองสังเกตุตัวแชมเปญ

เมื่อเทแชมเปญลงในแก้วแล้ว ลองยกแชมเปญขึ้นมาระดับสายตาและเอียงไปด้านข้างประมาณ 45 องศา โดยตัวน้ำแชมเปญควรจะมีความใสหรือขุ่นเล็กน้อย สีไม่สดและสีออกเหลืองทอง และฟองของแชมเปญควรจะมีเล็กใหญ่สลับกันไป ไปจะต้องฟู่อย่างมีชีวิตชีวา

ดมกลิ่นแชมเปญสักหน่อย

ถึงแม้ว่าแชมเปญจะเป็นไวน์ชนิดหนึ่ง แต่เราไม่จำเป็นจะต้องหมุนแก้วอย่างรวดเร็วเพื่อให้รับกลิ่นของไวน์ได้อย่างชัดเจนเหมือนกับไวน์ขาวหรือไวน์แดง ฟองของแชมเปญจะช่วยทำให้กลิ่นหอมเฉพาะตัวของแชมเปญลอยขึ้นมาด้านบนได้เป็นอย่างดี โดยคุณเพียงแค่นำแชมเปญมาไว้ตรงปลายจมูกและหายใจเข้าเพื่อที่จะรับกลิ่นเข้าไปอย่างชัดเจน โดยคุณจะได้กลิ่นหอมออกฟรุตตี้ กลิ่นดอกไม้ แร่ธาตุและกลิ่นยีสต์

ดื่มด่ำไปกับรสชาติของแชมเปญ

ในการดื่มแชมเปญ ควรจะจิบเบา ๆ ไม่ควรดื่มมากเกินไปหรือดื่มเป็นอึกใหญ่ ๆ เพื่อที่จะค่อย ๆ รับกลิ่นไปพร้อมกับสัมผัสรสชาติอันนุ่มละมุนของแชมเปญ

วิธีการชิมแชมเปญอย่างถูกต้องที่เรานำมาแนะนำนี้เป็นเพียงแค่วิธีคร่าว ๆ ที่จะทำให้ผู้ที่อยากลองชิมแชมเปญได้มีความสุขไปกับเครื่องดื่มที่หรูหราชนิดนี้ได้อย่างดียิ่งขึ้น อย่างไรก็อย่าลืมลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ดูนะ

คออ่อนต้องหัดจิบ 4 เทคนิคดื่มไวน์แบบเข้าใจง่ายเพื่อให้เข้าถึงรสชาติสุดละมุน

ไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบรั่นดีและเบียร์ การดื่มไวน์นั้นไม่ได้เน้นหนักไปที่การปาร์ตี้สังสรรค์ แต่การดื่มไวน์อย่างแท้จริงนั้นเน้นไปถึงเรื่องของรสสัมผัสละมุนลิ้นและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของไวน์ ซึ่งไวน์แต่ละชนิดกับปีที่ผลิตไวน์นั้นมีผลต่อรสชาติและกลิ่นของไวน์ ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้ไวน์แต่ละขวด มีกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกัน ใครที่คออ่อนดื่มแอลกอฮอล์แบบจัดหนักไม่ได้ น่าจะลองหันมาดื่มไวน์กันดูบ้าง เรามีวิธีการดื่มไวน์แบบมืออาชีพให้คุณเข้าถึงรสชาติละมุนอย่างแท้จริงของไวน์มาบอกกัน

1. See

ง่ายและตรงตัวที่สุด ก่อนจะเริ่มดื่มไวน์ ต้องเริ่มจากการดูให้ชัด เมื่อคุณรินไวน์ใส่แก้วไว้แล้ว อย่าเพิ่งรีบดื่มนะ เพราะไม่ใช่น้ำ ให้คุณหยิบแก้วไวน์ที่มีไวน์อยู่นั้นขึ้นมา (เวลาหยิบให้หยิบส่วนก้านแก้ว) ค่อย ๆ ใช้สายตาพิจารณาสีของไวน์ในแก้ว ซึ่งไวน์แต่ละชนิดจะมีสีที่แตกต่างกัน ถ้าเป็นไวน์ขาว สีที่ออกมาจะมีทั้งสีเหลือง สีส้ม  สีทองหรือออกสีอำพัน หากเป็นไวน์แดง สีที่ออกมาจะออกมาแดง ๆ หรือสีเลือดหมู สิ่งที่คุณต้องดูและพิจารณาก็คือ สีและความขุ่นข้นและความใสของไวน์ สีที่เข้มและมีความข้นบ่งบอกว่าเนื้อสัมผัสของรสชาติจะเข้มและหนักสักหน่อย หากสีเข้มแต่ไม่ข้น แบบนี้ตัวบอดี้จะมาเต็มแต่รสชาติจะเบา ๆ ส่วนถ้าสีอ่อนและค่อนข้างใส รสสัมผัสก็จะออกไปโทน Light เบา ๆ ละมุนลิ้นไปอีกแบบ ส่วนที่ไม่ใสมากนักและความข้นก็ไม่ชัดเจนแบบนี้จะเป็น Medium รสสัมผัสจะกลาง ๆ

2. Swirl

เทคนิคต่อมาของการดื่มไวน์ก็คือ การแกว่ง หลังจากหยิบแก้วขึ้นมาพิจารณาสีและความข้นของไวน์แล้ว ต่อมาก็ต้องแกว่งเบา ๆ เพื่อให้ไวน์หมุนไปรอบ ๆ แก้ว การแกว่งนี้จะช่วยทำให้ไวน์ค่อย ๆ คายกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ในตัวออกมา นอกจากนั้นยังจะบ่งบอกถึงรสชาติเบื้องต้นได้ด้วย ซึ่งให้สังเกตจากน้ำไวน์ที่ไหลลงไปตามขอบแก้ว ซึ่งจะมี 2 แบบคือไหลลื่นเหมือนน้ำเปล่าไม่มีการทิ้งร่องรอยบนแก้ว กับ ไหลแบบมีความหนืดค่อย ๆ ไหลกลับลงแก้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยบ่งบอกปริมาณน้ำตาลและความหวานของไวน์ได้เลยระดับหนึ่ง การแกว่งไวน์ไปรอบ ๆ แก้วนั้นจริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่สนุกและท้าทายคล้าย ๆ กับการเล่นพนันคาสิโนและได้ลุ้นเหมือนพนันกีฬาไปกับเว็บยอดฮิตอย่าง VWIN เลยทีเดียว เพราะบางทีก็ไม่รู้ว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นคนที่ดื่มไวน์มานานแกว่งเพียงนิดเดียวก็จะรู้ได้ถึงรสสัมผัสทันที แต่คนที่เพิ่งหัดดื่มแกว่งแล้วจะคาดเดารสไว้ในใจแต่บางทีพอดื่มจริงอาจจะรู้สึกว่ารสชาติและกลิ่นแปลกไปจากที่คิดไว้เยอะมาก

3. Sniff

อย่าลืมที่จะดมกลิ่นไวน์ด้วย การดมนั้นเราจะดมจากแก้วไวน์ เพราะแก้วแบบนี้ออกแบบมาให้ส่งกลิ่นไวน์ได้ชัดเจน หากได้กลิ่นตั้งแต่การยกดมแบบห่าง ๆ บ่งบอกว่าไวน์นั้นน่าจะมีรสชาติเข้มข้น หากไวน์แก้วไหนต้องยกดมใกล้ ๆ ถึงจะได้กลิ่นจาง ๆ ก็มักจะบ่งบอกว่าไวน์แก้วนั้นความเข้มข้นไม่สูงรสจะเบา ๆ

4. Sip

ขั้นตอนสุดท้ายก็ลิ้มรสโดยการจิบ เราจะจิบ ๆ เพื่อรับรสไวน์เท่านั้น ให้พอรู้รสสัมผัสในตอนแรกว่าความหวานนั้นเป็นอย่างไร หวานน้อย หวานกลาง หรือหวานมาก แล้วมีความฝาดข้างในเป็นแบบไหน ไวน์ที่ดีนั้นทั้งกลิ่น และรสสัมผัสอันละมุนจะยังคงอบอวลอยู่ในปากค้างอยู่ในจมูกด้านในประมาณ 3-5 วินาทีแม้จะกลืนไปแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนคุณภาพและเกรดของไวน์ได้เลยนั่นเอง

นี่คือ 4 เทคนิคการดื่มไวน์แบบมืออาชีพแบบเข้าใจง่าย ใครที่ยังไม่เคยดื่มไวน์ หรือดื่มไวน์ไม่เป็นน่าจะลองนำไปใช้กันดูแล้วคุณจะรู้ว่าการดื่มไวน์มันช่างน่าสนใจกว่าการดื่มบรั่นดีหลายเท่าทีเดียว

ไวน์โลกเก่าหรือไวน์โลกใหม่ แบบไหนที่ควรเลือกดื่ม

ความแตกต่างระหว่างไวน์โลกเก่ากับไวน์โลกใหม่มักจะถูกเข้าใจผิดกันบ่อย ๆ หรือไม่ค่อยเข้าใจว่าไวน์สองชนิดนี้แตกต่างกันอย่างไร หากคุณเรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของไวน์โลกเก่าและไวน์โลกใหม่ ก็จะช่วยให้คุณเลือกดื่มไวน์ที่เหมาะกับความชอบของตนเองได้ดียิ่งขึ้น เราจึงจะมาช่วยอธิบายความแตกต่างดังกล่าวให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ไวน์โลกเก่า VS. ไวน์โลกใหม่

ส่วนมากแล้วเราสามารถแยกความแตกต่างของไวน์โลกเก่าและไวน์โลกใหม่ได้อย่างง่าย ๆ ตามประเทศที่ผลิตไวน์ ประเทศที่ผลิตไวน์จะแบ่งออกเป็นสองทวีปด้วยกันก็คือยุโรปและตะวันออกกลาง โดยไวน์จากโลกเก่าจะเป็นไวน์ที่ผลิตจากประเทศแถบยุโรป นั่นก็คือฝรั่งเศส สเปน อิตาลี เยอรมัน โปรตุเกส ออสเตรีย กรีซ เลบานอน อิสราเอล โครเอเชีย จอร์เจีย โรมาเนีย ฮังการีและสวิตเซอร์แลนด์

หากดูจากลักษณะทางกายภาพไวน์จากโลกเก่าจะมีความเบา รสชาติไม่หวือหวาและมีแอลกอฮอล์ไม่มาก ซึ่งเกิดจากข้อจำกัดในกรรมวิธีการผลิต เพราะว่าการผลิตของไวน์ยุคเก่านั้นถูกจำกัดอย่างเคร่งครัด มีกฎที่ผู้ทำไวน์โลกเก่าจะต้องปฏิบัติตาม ตั้งแต่สายพันธุ์องุ่น ปัจจัยแวดล้อมในการปลูกองุ่นและการหมัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกทอดมามากกว่าหลายสิบปี (ในวงการการผลิตไวน์ ถึงแม้ว่าจะมีกรรมวิธีการผลิตที่เหมือนกัน องุ่นสายพันธุ์เดียวกัน แต่ผลิตกันคนละที่ รสชาติก็แตกต่างกันอย่างมากแล้ว) ซึ่งทำให้ไวน์ยุคเก่าเป็นไวน์ที่คลาสสิค เหมือนเป็นมรดกที่ตกทอดมาจากผู้คนในอดีต เป็นเสน่ห์ที่ถูกใจคอไวน์

ในขณะที่ไวน์จากยุคใหม่จะผลิตจากประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมมาก่อน รวมถึงสหรัฐอเมริกา และประเทศที่มีอากาศร้อนกว่าประเทศแถบยุโรป ทำให้ไวน์จากโลกใหม่มีความหนัก มีความเป็นกรดน้อยและมีรสชาติผลไม้เด่น อีกทั้งยังมีแอลกอฮอล์สูง โดยประเทศที่ผลิตไวน์โลกใหม่ก็จะมีสหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ อาร์เจนติน่า ชิลี ออสเตรเลียและอเมริกาใต้

โดยนักทำไวน์จากประเทศเหล่านี้เปรียบเสมือนนักทดลอง ที่คอยทดลองกรรมวิธีใหม่ ๆ นำมาใช้ร่วมกับวิธีการผลิตไวน์แบบยุคเก่า ทำให้ได้ไวน์ที่มีรสชาติดีและแปลกใหม่ สร้างสีสันให้กับวงการไวน์เป็นอย่างมาก

เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเป็นไวน์โลกเก่าหรือไวน์โลกใหม่ ต่างก็มีเอกลักษณ์และความโดดเด่นที่แตกต่างกันไป ไวน์โลกเก่าก็จะเต็มไปด้วยประวัติและความเป็นมาจากอดีต ทำให้ผู้ลิ้มลองสัมผัสได้ถึงความโรแมนติกและความคลาสสิคของการผลิตไวน์ ส่วนไวน์โลกใหม่ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความแปลกใหม่ รสชาติเข้มข้นซับซ้อน อีกทั้งยังมีราคาที่คุ้มค่ากับคุณภาพที่ได้รับอีกด้วย ดังนั้นสำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์ ควรจะลองชิมไวน์หลาย ๆ ตัว ทั้งโลกใหม่และโลกเก่า เพื่อที่จะได้รู้ว่าตัวเองชื่นชอบไวน์แบบไหนมากที่สุด แต่ทางเราแนะนำให้ดื่มทั้ง 2 แบบเลย จะทำให้คุณสนุกกับการดื่มไวน์มากยิ่งขึ้น

ฟันธง 5 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไวน์โลกใหม่ พร้อมแนะนำไวน์โลกใหม่ตัวเทพ น่าลิ้มลอง

ไวน์โลกใหม่หรือ New World Wine เป็นไวน์ที่หาดื่มง่ายและมีรสชาติดี แต่ก็มีบางคนอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักไวน์รูปแบบนี้มากนักและอาจจะยังไม่กล้าลิ้มลอง เรามี 5 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไวน์โลกใหม่มาฟันธงกันให้ชัดเจนว่าข้อไหนชัวร์ หรือข้อไหนมั่ว พร้อมกับแนะนำไวน์โลกใหม่ที่อร่อยไม่แพ้ไวน์โลกเก่า

ไวน์โลกใหม่ไม่มีคุณภาพเช่นเดียวกับไวน์โลกเก่า

ไม่จริงเลย ความสนุกของไวน์โลกใหม่คือการที่นักทำไวน์จะไม่ยึดติดอยู่กับกรอบหรือธรรมเนียมใด ๆ ถ้ามีบางอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ทำให้ไวน์มีคุณภาพดีขึ้น นักทำไวน์ก็จะเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการทำไวน์ทันที หากไม่เชื่อก็ลองชิมไวน์ Jordan Chameleon Cabernet Merlot จากอเมริกาใต้ ไวน์โลกใหม่ตัวนี้คือการผสมผสานองุ่นถึง 4 สายพันธุ์ ตัวไวน์บ่มในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศส มีกลิ่นผลไม้และกลิ่นสมุนไพรทำให้มีรสชาติดี แถมยังคุ้มค่าคุ้มราคา

การทำไวน์โลกใหม่ไม่ซับซ้อนเท่ากับไวน์โลกเก่า

ไม่จริงเท่าไรนัก นักทำไวน์ในนิวยอร์กก็ใส่ใจ “terroir” หรือรสชาติของดินแดนพอสมควร ซึ่งก็คือกฎของการทำไวน์ที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นดิน ความชื้นและแสงแดด ส่งผลต่อรสชาติของไวน์โดยตรงและเป็นสิ่งที่ทำให้นักทำไวน์ต่างพยายามตามหาไร่องุ่นที่อยู่ในพื้นที่ที่เพียบพร้อมและตรงตามความต้องการเพื่อผลิตไวน์ที่มีคุณภาพให้มากที่สุด ในขณะเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ไวน์ Pepper Pot Red จากอเมริกาใต้ที่ผสมผสานองุ่นสายพันธุ์ Rhône ทั้ง 5 ชนิด พร้อมทั้งเลือกสถานที่ปลูกที่มีการชลประทานเหมาะกับองค์ประกอบของดิน เพื่อที่จะรังสรรค์รสชาติไวน์แดงที่แสนซับซ้อนนุ่มลึก

ไวน์โลกใหม่มีแอลกอฮอล์สูง

ขึ้นอยู่กับตัวไวน์เองมากกว่า หากคุณอยากลองทานไวน์จากโลกใหม่ที่มีแอลกอฮอล์ประมาณ 12-13% ABV และมีรสชาติที่โดดเด่นขององุ่น ลองชิม Dreamer Viognier โดย Philip Shaw ไวน์โลกใหม่ตัวนี้มีแอลกอฮอล์ประมาณ 11.5% ABV และปลูกบนที่ราบสูง ทำให้ไวน์ขาวตัวนี้มีรสชาติที่ละเอียดอ่อนแบบหาได้ยาก

ไวน์โลกใหม่มีกลิ่นไม้โอ๊กแรงเกินไป

บางคนอาจจะเคยลิ้มลองรสชาติของไวน์บางตัวที่ผลิตออกมาครั้งละมาก ๆ และมีกลิ่นไม้โอ๊กที่ค่อนข้างแรงซึ่งเกิดจากการบ่มไวน์ในถังโอ๊กซึ่งจะช่วยให้ไวน์ตกตะกอน ทำให้ไวน์ใสและมีรสชาติดีขึ้น แต่ตอนนี้นักทำไวน์มีเทคนิคในการลดกลิ่นไม้โอ๊กออกไปได้แล้ว อีกทั้งยังรักษารสชาติของผลไม้และเอกลักษณ์ขององุ่นไว้ได้อีกด้วย เช่นไวน์ Weighbridge Unoaked Chardonnay จาก Barossa Valley คือตัวอย่างของไวน์จากออสเตรเลียที่ไม่มีกลิ่นไม้โอ๊ก มีความเย็น กลิ่นเปรี้ยวของ citrus ซึ่งทำให้ไวน์ตัวนี้มีรสชาติยอดเยี่ยม

ไวน์โลกใหม่แม้จะไม่ได้มีกรรมวิธีการผลิตที่เป็นธรรมเนียมตกทอดมาหลายช่วงอายุ แต่ก็เป็นไวน์ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของนักทำไวน์ ที่นำเอาเทคนิคสมัยใหม่ผสมผสานกับแบบเก่า เพื่อให้ได้ไวน์รสชาติดีและแปลกใหม่ ทำให้นักดื่มไวน์สนุกกับการดื่มไวน์มากยิ่งขึ้น

พามารู้จักไวน์โลกเก่า ความคลาสสิคที่น่าหลงใหล

หลาย ๆ ท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่าไวน์โลกเก่า (Old world Wine) และมีความสงสัยว่าไวน์ที่ถูกจัดอยู่ในชนิดนี้มีความพิเศษและแตกต่างจากไวน์ทั่วไปอย่างไร วันนี้เราจะมาอธิบายคร่าว ๆ เพื่อให้ทุกคนได้สนุกกับการดื่มไวน์มากยิ่งขึ้นกัน

ไวน์โลกเก่า ก็คือไวน์ที่มาจากประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป ที่เป็นดินแดนที่มีการริเริ่มผลิตไวน์มายาวนานมากกว่าพื้นที่ใด ๆ ในโลก จึงทำให้ไวน์ที่ผลิตจากพื้นที่นี้ถูกเรียกว่าไวน์ยุคเก่า ซึ่งในแต่ละประเทศเขาก็จะมีกฎในการผลิตไวน์แบบดั้งเดิมเป็นของตัวเอง เริ่มตั้งแต่การเลือกสายพันธุ์องุ่น พื้นที่สำหรับเก็บองุ่นและจำนวนแอลกอฮอล์ขั้นต่ำที่จะได้หลังจากการบ่มไวน์ ไปจนถึงปริมาณน้ำตาลที่เหลืออยู่ในไวน์

สำหรับการระบุฉลากไวน์ หลัก ๆ แล้วจะมีการระบุภูมิภาคที่ผลิตไวน์มากกว่าสายพันธุ์ขององุ่นหรือรายละเอียดขององุ่นที่ใช้ทำไวน์ สาเหตุก็เพราะคำว่า “Terroir”

Terroir แปลตรงตัวว่าโลกหรือดินแดน แต่ในความหมายของศัพท์เฉพาะทางจะแปลว่า “รสชาติของสถานที่” สื่อถึงทุกอย่างโดยรวมของพื้นที่ที่เป็นปัจจัยในการผลิตไวน์ ตั้งแต่ดินที่ใช้ปลูกองุ่นสำหรับทำไวน์ ความชัน มุมลาดเอียง ความสูงของดิน ความชื้นและแสงแดด เพราะจริง ๆ แล้วกระแสของลมที่พัดมามีส่วนที่ทำให้รสชาติของไวน์ดีได้พอ ๆ กับความสมบูรณ์ของตัวองุ่นเลยทีเดียว แน่นอนว่าในส่วนของไวน์โลกเก่า ก็จะมีกฎที่ระบุรายละเอียดของ Terroir ที่เหมาะกับการทำไวน์มากที่สุด

ไวน์โลกเก่าจะเปรียบ Terroir เสมือนจิตรกร ผู้ทำไวน์คือผืนผ้าใบ ส่วนองุ่นคือสี แต่ในส่วนของไวน์โลกใหม่ ซึ่งเป็นไวน์กลุ่มที่ตรงกันข้ามกับไวน์โลกเก่า ผู้ทำไวน์คือจิตรกร ปัจจัยโดยรวมของการทำไวน์คือผืนผ้าใบและองุ่นก็คือสี ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบความแตกต่างของไวน์ทั้งสองชนิดได้อย่างเห็นภาพชัดเจนมากที่สุด

มาถึงประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรปและมีชื่อเสียงในเรื่องของการผลิตไวน์ นั่นก็คือประเทศต่าง ๆ ต่อไปนี้

  • ออสเตรีย ได้แก่ไวน์ Riesling, Pinot Blanc และ Zweigelt
  • ฝรั่งเศส ได้แก่ไวน์ Cabernet, Pinot Noirs และ Chardonnays
  • เยอรมัน ได้แก่ไวน์ Pinot Noir, Riesling และ Pinot Blanc
  • กรีซ ได้แก่ไวน์ Agiorghitiko, Moschofilero และ Xinomavro
  • ฮังการี ได้แก่ไวน์ Furmint, Kadarka และ Furmint
  • อิตาลี ได้แก่ไวน์ Piedmont, Lombardy และ Trentino-Sud Tyrol
  • โปรตุเกส ได้แก่ไวน์ Tawny, Rainwater และ Vinho Verde
  • สเปน ได้แก่ไวน์ Godello, Tempranillo และ Grenache

ไวน์ที่ถูกจัดอยู่เป็นไวน์โลกเก่าจะเป็นไวน์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความคลาสสิค เปรียบได้กับศิลปะที่ส่งต่อมาสู่รุ่นต่อรุ่นเปรียบเสมือนมรดกของโลก ซึ่งผู้ผลิตไวน์ มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎในการรังสรรค์ไวน์ตั้งแต่โบราณอย่างเคร่งครัด เพื่อให้บรรดาคอไวน์ได้ชิมไวน์แบบดั้งเดิมที่แสนมีคุณค่านั่นเอง

ดื่มไวน์อย่างไรให้กลมกล่อมที่สุด รวมข้อที่ไม่ควรทำหากไม่อยากให้ไวน์เสียรสชาติ

                ไวน์ถือเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ขึ้นชื่อว่ามีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหรือรสสัมผัสที่ชวนหลงใหล หรือความกลมกล่อมเมื่อได้ดื่มกับมื้ออาหารที่เข้ากันเองก็ตาม จึงไม่แปลกที่หลายคนมักจะเลือกไวน์ให้เป็นเครื่องดื่มคู่ใจที่สามารถดื่มได้ในทุกโอกาส และด้วยความที่ไวน์มีเอกลักษณ์ทางด้านรสชาติที่ไม่เหมือนใครนี่เอง ทำให้เวลาดื่มต้องคอยระวังไม่ให้มีอะไรมาทำให้รสชาติของไวน์ผิดเพี้ยนไป จนทำให้เราไม่ได้รับรู้ถึงรสชาติที่แท้จริงของไวน์นั้น ๆ วันนี้เราจึงอยากมาบอกถึงข้อควรระวังที่ไม่ควรทำในการดื่มไวน์ หากไม่อยากให้ไวน์เสียรสชาติ จะมีอะไรบ้างตามไปดูกันเลย

ข้อควรระวังในการดื่มไวน์ไม่ให้เสียรสชาติ

  • ไม่ควรใช้แก้วที่ไม่ใช่แก้วไวน์ในการดื่ม เนื่องจากไวน์เป็นเครื่องดื่มที่ต้องคำนึงถึงอุณหภูมิในการดื่มด้วย เพราะทั้งอากาศและความชื้นต่าง ๆ สามารถเปลี่ยนรสชาติของไวน์ได้ทั้งนั้น อย่างแก้วไวน์ขาวที่ถูกออกแบบมาให้เป็นแก้วทรงสูงมีด้ามจับที่ยาวก็เพื่อให้เราได้จับในส่วนที่เป็นด้ามแก้วโดยไม่โดนส่วนของตัวแก้ว เพื่อให้อุณหภูมิความร้อนจากมือของเราไปสัมผัสกับไวน์ในแก้ว จนทำให้รสชาติของไวน์ผิดเพี้ยนไปนั่นเอง
  • ไม่ควรดื่มไวน์ควบคู่ไปกับอาหารที่ผิดประเภท เช่น เลือกทานไวน์แดงที่มีรสฝาดนำหวานกับพวกอาหารทะเล หรือเนื้อปลาต่าง ๆ เพราะความฝาดของไวน์นอกจากจะไม่ได้ทำให้ความคาวของอาหารทะเลลดลงแล้ว ยังอาจจะไม่ได้ทำให้รสชาติของอาหารมื้อนั้นอร่อยขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นก็ได้ หรือการดื่มไวน์แดงโดยการนำไปแช่เย็นก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะไวน์แดงเป็นไวน์ที่จะให้รสชาติที่ดีในอุณหภูมิห้องมากกว่าที่จะนำไปดื่มแบบเย็น เหมือนไวน์ขาวหรือไวน์จำพวกสปาร์คกลิ้งไวน์
  • อย่าดื่มไวน์ไปพร้อม ๆ กับการดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่น เพราะอาจจะทำให้รสชาติของไวน์ถูกรสชาติของเครื่องดื่มชนิดอื่นกลบไปเสียหมด จนทำให้เราไม่ได้สัมผัสกับรสชาติและกลิ่นหอมที่แท้จริงของไวน์นั้น ๆ ได้ นอกจากนั้นการที่เราดื่มไวน์ไปพร้อม ๆ กับเครื่องดื่มอย่างอื่นโดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เหมือนกัน อาจจะทำให้ร่างกายได้รับปริมาณแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป หรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

นอกจากนั้นเมื่อเริ่มเปิดไวน์ดื่มเป็นเครื่องแรก ก็ควรมีการเก็บรักษาที่ถูกวิธีด้วย โดยควรนำไวน์ไปเก็บไว้ในที่เหมาะสม อย่างเช่น เก็บในตู้ไวน์ที่มีอุณหภูมิคงที่ หรือชั้นเก็บไวน์ที่มีความมิดชิดไม่โดนแสงแดดหรือมีกลิ่นจากภายนอกเข้าไปกระทบ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไวน์นั้นมีรสชาติที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม และช่วยคงสีและกลิ่นของไวน์ไม่ให้เปลี่ยนไปนั่นเอง เมื่อรู้แบบนี้แล้วต่อไปหากต้องดื่มไวน์ก็อย่างลืมคำนึงถึงข้อควรระวังเหล่านี้ด้วยนะ เพื่อที่เราจะได้สัมผัสถึงรสชาติของไวน์ขวดโปรดได้อย่างกลมกล่อมมากที่สุดนั่นเอง

คอไวน์ต้องมี..แนะนำสิ่งที่ควรมีเมื่ออยากดื่มไวน์อย่างรื่นไหลไม่มีสะดุด

                ไวน์ถือเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นเครื่องดื่มที่สามารถดื่มได้ในทุกเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยง งานฉลอง การดื่มเพื่อพบปะสังสรรค์ในวงสังคม ความชอบส่วนตัว รวมไปถึงการเลือกให้เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดีต่อร่างกายด้วย เพราะจากงานวิจัยหลายตัวที่ออกมาต่างชี้ว่าการดื่มไวน์ในปริมาณที่เหมาะสมนั้นสามารถช่วยป้องกันโรคหลากหลายโรค และยังสามารถช่วยให้หลับสบายขึ้นอีกด้วย แต่หากอยากจะเลือกซื้อไวน์คู่ใจมาไว้ที่บ้านสักขวดนั้น สิ่งที่คุณควรเตรียมพร้อมไว้เพื่อให้การดื่มไวน์ของคุณนั้นลื่นไหลไร้ปัญหาจะมีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย

สิ่งที่ควรเตรียมพร้อมเมื่ออยากดื่มไวน์

  • แก้วไวน์แบบต่าง ๆ เพราะการดื่มไวน์ไม่เหมือนกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วไป ๆ เนื่องจากไวน์เป็นเครื่องดื่มที่รสชาติสามารถเปลี่ยนแปลงหรือผิดเพี้ยนไปได้หากมีตัวแปลภายนอกมากระทบ เช่น ความชื้น หรืออุณหภูมิภายนอก การใช้แก้วไวน์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ดื่มไวน์โดยเฉพาะจึงดีที่สุด โดยแก้วไวน์แต่ละชนิดก็จะมีลักษณะที่เหมาะกับไวน์ที่แตกต่างกันไป เช่น แก้วไวน์แดง แก้วไวน์ขาว ก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันด้วย เพราะฉะนั่นก่อนที่คุณจะเริ่มซื้อไวน์มาดื่มนั้นควรเลือกซื้อแก้วไวน์ที่เหมาะกับไวน์ของคุณมาเตรียมพร้อมไว้ด้วย เพื่อให้การดื่มไวน์ของคุณได้รสชาติที่กลมกล่อมไม่ผิดเพี้ยนและช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการลิ้มลองไวน์ของคุณด้วย
  • ที่เปิดไวน์ อีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่ควรมีโดยเฉพาะใครที่ยังไม่เคยเปิดไวน์ด้วยตัวเอง การใช้ที่เปิดไวน์ที่ออกแบบมาเพื่อเปิดจุกไม้โอ๊คบนขวดไวน์โดยเฉพาะ จะช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้คุณได้เป็นอยากดี และยังถือว่าเป็นการเปิดขวดไวน์ที่ถูกต้องด้วย เพราะอย่างที่บอกว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่ต้องคำนึงถึงปัจจัยภายนอกอยู่ตลอด ทำให้บางครั้งหากคุณเลือกใช้วิธีเปิดขวดที่ผิดอาจจะทำให้กระทบต่อรสชาติหรือกลิ่นของไวน์ในขวดได้ด้วยเช่นกัน
  • ถังแช่ไวน์ ซึ่งจะช่วยรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมให้ไวน์ของคุณ โดยเฉพาะไวน์ขาวหรือสปาร์คกลิ้งไวน์ที่มักจะดื่มกันตอนที่เย็น หากคุณมีถังแช่ไวน์ติดบ้านไว้ด้วยก็จะช่วยให้ง่ายในการเก็บไวน์ในขณะที่กำลังดื่มอยู่ ไม่ต้องกลัวว่าไวน์ที่ออกจากตู้แช่มาแล้วจะหายเย็น หรือต้องคอยยุ่งยากในการคอยเดินไปมาในการเก็บไวน์ โดยถังไวน์ควรเป็นถังที่ทำจากสแตนเลสที่มีคุณภาพ สามารถใส่น้ำแข็งลงไปแล้วรักษาอุณหภูมิภายในถังได้เป็นอย่างดีด้วย

รู้แบบนี้แล้ว คุณก็หมดกังวลเมื่อต้องซื้อไวน์มาดื่มอีกต่อไป แค่เพียงมีสิ่งสำคัญสามอย่างนี้คุณก็สามารถเลือกซื้อไวน์ที่ชอบรสชาติที่ใช่มาไว้ลิ้มลองที่บ้านได้แล้ว

มือใหม่เริ่มดื่มไวน์ มาเช็คระดับแอลกอฮอล์ในไวน์กันเถอะ

เมื่อพูดถึงไวน์แล้วแน่นอนว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สุดหรูนี้ โดยเฉพาะคอไวน์ทั้งหลายที่อาจจะเคยดื่มไวน์มามากมายกลายประเภทแล้ว แต่สำหรับใครที่กำลังเริ่มดื่มไวน์หรือสนใจลิ้มลองเครื่องดื่มอันมีมนต์เสน่ห์นี้ แต่อาจจะกำลังสงสัยอยู่ว่าไวน์มีแอลกอฮอล์อยู่ในปริมาณเท่าใด และแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันหรือไม่ วันนี้เราจะพาไปเช็คกันว่าไวน์แต่ละประเภทมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ประมาณเท่าใด เพื่อที่จะได้รู้ว่าตัวเองเหมาะสมกับการดื่มในปริมาณเท่าใดและเหมาะกับไวน์แบบไหนนั้นเอง ว่าแล้วก็ไปดูกันเลย

แอลกอฮอล์ที่อยู่ในไวน์จะเป็นแอลกอฮอล์ที่เกิดจากการหมักตามธรรมชาติ โดยไม่ได้ใส่สารเคมีหรือสารใด ๆ ลงไปให้เกิดปฏิกิริยา แต่จะเป็นการเกิดจากขั้นตอนการหมักองุ่นโดยใช้ยีสต์เป็นตัวทำให้น้ำตาลที่อยู่ในน้ำองุ่นเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์นั่นเอง โดยระดับแอลกอฮอล์ในไวน์ก็จะแตกต่างกันออกไปตามวิธีการหมักรวมถึงมีส่วนทำให้รสชาติของไวน์แตกต่างกันด้วย ซึ่งหากอยากรู้ก็สามารถดูได้จากบนฉลากของไวน์แต่ละขวดว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่เท่าไหร่บ้าง

  • ไวน์แดงและไวน์ขาว ไวน์ทั้งสองแบบนี้ถึงแม้ว่าจะมีกระบวนการหมักที่แตกต่างกันแต่ก็มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่ใกล้เคียงกัน โดยจะอยู่ที่ประมาณ 9 – 15 % ซึ่งไวน์ทั้งสองแบบจะมีจุดเด่นด้านรสชาติที่แตกต่างกัน โดยไวน์แดงจะออกรสฝาดนำมักดื่มในอุณหภูมิห้อง ส่วนไวน์ขาวจะเป็นรสชาติแบบเปรี้ยวอมหวานนำมักดื่มตอนที่เย็นซึ่งจะให้ความรู้สึกที่สดชื่น และไวน์ขาวยังมีทั้งแบบหวานและไม่หวานด้วย
  • สปาร์คกลิ้งไวน์ หรือไวน์มีฟอง โดยทั่วไปจะมีระดับแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 8 – 14 % แต่จะมีรสชาติที่หวานซาบซ่ากว่าไวน์แดงหรือไวน์ขาวปกติ เนื่องจากมีการอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในขั้นตอนการหมักด้วย มักดื่มในอุณหภูมิที่เย็นถึงเย็นจัด และยังมีไวน์ที่เรียกว่าไวน์สีกุหลาบหรือไวน์โรเซ่ ที่มีลักษณะเป็นสีชมพูเนื่องจากการหมักองุ่นแดงพร้อมเปลือกในเวลาสั้น ๆ นั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีไวน์ที่มีระดับแอลกอฮอล์สูงกว่านี้อีกด้วย ถึงประมาณ 22 % เลยทีเดียว การดื่มไวน์จึงมักเป็นการดื่มที่แตกต่างจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทอื่น ๆ เพราะจะไม่ได้ดื่มอย่างรวดเร็วแต่จะเป็นการค่อย ๆ ดื่มเพื่อลิ้มรสและเพื่อเพิ่มสุนทรียภาพให้แก่มื้ออาหารให้กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ระดับแอลกอฮอล์ในไวน์อาจจะมากน้อยแตกต่างกันตามลักษณะของผลองุ่นที่นำมาหมักด้วย ยิ่งเป็นองุ่นสายพันธ์ที่มีรสหวานมาก ๆ ก็จะทำให้ยีสต์ที่ใส่เข้าไปในการหมักเมื่อเจอน้ำตาลจากน้ำองุ่นก็สามารถเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์ได้มากขึ้นนั่นเอง รู้แบบนี้แล้วหากจะเลือกไวน์มาลิ้มลองสักขวดให้เหมาะกับตัวเองที่สุดก็อย่าลืมเช็คดูปริมาณแอลกอฮอล์ให้ดีด้วยนะ

Category : สาระน่ารู้

Tag : แอลกอฮอล์, หมักไวน์, ผลิตไวน์

https://bit.ly/2B6Uh3Z

คอไวน์ต้องรู้ มาดูปัจจัยที่มีผลต่อรสชาติของไวน์กันเถอะ

                เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมไวน์ประเภทเดียวกันที่ทำจากองุ่นเหมือนกันถึงมีรสชาติที่แตกต่างกันได้ บางครั้งเป็นไวน์ยี่ห้อเดียวกันด้วยซ้ำแต่ทำไมรสชาติกลับไม่เหมือนกัน นั่นก็เพราะว่ารสชาติของไวน์ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ด้วยนั่นเอง และหากคุณกำลังสงสัยว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่สามารถส่งผลต่อรสชาติของไวน์ได้ วันนี้เราจะพาคุณไปดูกัน

ปัจจัยที่สามารถสงผลต่อรสชาติของไวน์

  • สภาพอากาศและอุณหภูมิ เชื่อหรือไม่ว่าสภาพอากาศและอุณหภูมินั้นมีผลตั้งแต่ลักษณะขององุ่นที่นำมาทำไวน์เลยทีเดียว องุ่นที่ปลูกในเขตร้อนชื้นก็จะมีลักษณะสีและรสชาติที่แตกต่างกับองุ่นที่ปลูกในเขตหนาวหรือในที่ที่มีอุณหภูมิที่ต่ำ เพราะฉะนั้นการนำองุ่นที่ถูกปลูกจากพื้นที่ที่มีความแตกต่างกันมาทำไวน์ก็จะทำให้ได้รสชาติไวน์ที่แตกต่างกันด้วย นอกจากนั้นอุณหภูมิยังส่งผลไปถึงขั้นตอนการผลิตไวน์ การบ่มไวน์ การเก็บรักษา จนถึงขณะดื่มอีกด้วย อย่างเช่น ไวน์แดงควรดื่มในอุณหภูมิห้องซึ่งจะให้รสชาติที่กลมกล่อมละมุนลิ้น ส่วนไวน์ขาวหรือสปาร์คกลิ้งไวน์ควรดื่มแบบเย็นเพราะจะใช้ความรู้สึกที่สดชื่นและได้รสชาติที่ลงตัวที่สุด เป็นต้น
  • อาหารที่ทานคู่กับไวน์ อาหารเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำให้รสชาติของไวน์มีความแตกต่างกันได้ หลายคนอาจจะคิดว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยชูรสชาติของอาหารให้ดีขึ้น แต่จริง ๆ แล้วอาหารเองก็สามารถทำให้ไวน์ที่ทานคู่กันมีรสชาติที่ดีขึ้นได้เช่นกัน หากอาหารที่ทานไม่เข้ากับไวน์ก็จะทำให้รสชาติของไวน์ที่ดื่มไม่ละมุนลิ้น หรืออาจทำให้รสชาติของไวน์ผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็นได้
  • การเก็บรักษา เป็นอีกปัจจัยที่สามารถส่งผลถึงกลิ่นสีรวมถึงรสชาติของไวน์ได้ โดยการเก็บรักษาไวน์ควรเก็บให้เหมาะสมกับไวน์แต่ละประเภท ทั้งสถานที่ที่เก็บ อากาศ แสงสว่าง ความชื้น ระยะเวลาในการเก็บ อุณหภูมิในห้องที่เก็บ รวมไปถึงลักษณะการเก็บการจัดวางด้วย ซึ่งไวน์แต่ละประเภทอาจจะมีการเก็บที่แตกต่างกัน เช่นไวน์แดงอาจจะต้องเก็บในที่ที่มีอุณหภูมิสูงว่าไวน์ขาว หรือในตู้แช่ไวน์ก่อนนำมาดื่มก็ควรเป็นตู้ที่สามารถเก็บไวน์ได้อย่างเป็นระเบียบ สะดวกสบาย ไม่แออัด และมีความเย็นที่เหมาะสมและสม่ำเสมอด้วย นอกจากนั้นสถานที่เก็บไวน์ก็ควรเป็นสถานที่ที่มิดชิด ไม่มีแสงแดดหรือฝนสาดเข้ามาได้ ไม่มีกลิ่นข้างนอกเข้ามาปนเปื้อน เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่สามารถทำให้สีและรสชาติของไวน์เปลี่ยนไปได้

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเช่น การสั่นสะเทือนระหว่างเคลื่อนย้ายไวน์ หรืออากาศหลังจากเทไวน์ใส่แก้ว เป็นต้น ซึ่งต่างเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนรสชาติของไวน์ได้ทั้งนั้น นั้นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงไม่ควรมองข้ามปัจจัยเหล่านี้ หากอยากลิ้มลองไวน์ให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมและสร้างสุนทรียภาพในการดื่มที่ดีที่สุดนั่นเอง

Category: สาระน่ารู้

Tag : การเก็บรักษาไวน์, อุณหภูมิ, สภาพอากาศ

https://bit.ly/2EnVVlL