Category Archives: โรงบ่มไวน์

“Lumiere Winery”สถานที่แห่งความผ่อนคลาย ให้ความรู้สึกสดชื่นที่หาไม่ได้จากที่ไหนในญี่ปุ่น

“Winery”สถานที่ทำไวน์และจำหน่ายไวน์หลากหลายให้ผู้ที่ไปได้เลือกสรร บางที่อาจมีไร่องุ่นเป็นของตัวเองด้วย จึงสามารถนำผลผลิตนั้นมาทำไวน์เป็นของตัวเองซึ่งคงมีหลาย Winery บนโลกที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ และเสน่ห์มากมายเพื่อดึงดูดให้เหล่าคนรักไวน์ได้เดินทางไปเยี่ยมชม แต่วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “Lumiere Winery”สถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่บรรยากาศเป็นมิตรแก่ผู้ไปเยี่ยมชมเสมอ และให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างที่หาไม่ได้ที่ไหนในญี่ปุ่นเลย

เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้จำหน่าย Lumiere Winery ความอร่อยที่ส่งต่อมาเป็นเวลากว่า 130 ปี

เป็นเวลากว่า 130 ปีแล้วที่ Lumiere ดำเนินกิจการด้วยการเป็นทั้งผู้ผลิตไวน์และผู้จัดจำหน่าย ส่งผ่านความอร่อยและไวน์คุณภาพให้คนรักไวน์ไปทั่วโลก ด้วยพันธุ์องุ่น Koshu ที่เป็นพันธุ์องุ่นลูกครึ่งของเอเชียและยุโรป อีกทั้งไร่องุ่นที่ล้อมรอบด้วยภูเขาและน้ำ ผืนดินที่นี่จึงชุ่มฉ่ำ เหมาะสมแก่การเพาะปลูก ส่งต่อความอร่อยที่ทำให้ครอบครัว Lumiere ดำเนินธุรกิจมาได้เนิ่นนานถึงขนาดนี้อีกทั้งไวน์ของที่นี่ยังเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครจนได้รับการการันตีโดยรางวัลมากมายตั้งแต่ปีค.ศ.1967องุ่นทุกต้นของที่นี่ปลูกด้วยมืออย่างใส่ใจสมเป็น Lumiere Winery ไวน์สัญชาติญี่ปุ่นจริง ๆ

โดยที่นี่ผลิตทั้ง Red wine, White wine และ Sparkling wine แต่ตัวที่โด่งดังและได้รับความนิยมมากจะเป็น Sparkling wine ที่ทั้งหอมหวาน ผ่านกรรมวิธีการทำอย่างพิถีพิถันจากองุ่น Koshu ซึ่งตัวองุ่นนี้มีเคล็ดลับมาจากอากาศที่เบาสบายของที่นี่ สลับกับดินชุ่มฉ่ำจากผืนน้ำรายล้อมภูเขา แบบนี้ก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมผู้คนที่ไปเยือนที่นี่ถึงได้บอกว่าอากาศสดชื่นและรู้สึกถึงความผ่อนคลายนัก

สไตล์ Lumiere Winery การผ่อนคลายในแบบญี่ปุ่น ด้วยวิถีความเงียบสงบ อากาศ และจิบไวน์ดี ๆ สักแก้ว

ที่นี่มีไร่องุ่นกว้างขวางให้คนที่มาเยือนได้เดินเยี่ยมชมจนเมื่อย อีกทั้งยังได้สูดอากาศบริสุทธิ์อย่างเต็มปอด เพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกสดชื่นมาก ๆ แล้ว ยังทำให้ผ่อนคลายตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้าวเท้าเข้าไป เนื่องจากรอบไร่องุ่นเต็มไปด้วยแม่น้ำและมีลมเย็น ๆ จากความสูงของภูเขา ทำให้ที่นี่แปลกและแตกต่างไม่เหมือนกับที่อื่น เป็นวิถีการผ่อนคลายแบบญี่ปุ่นที่เน้นใกล้ชิดธรรมชาติ และความสงบเย็น ยิ่งไปกว่านั้นที่ Lumiere Winery ยังมีร้านอาหารเป็นของตัวเองอีกด้วย เป็นร้านอาหารที่มาพร้อมกับไวน์อันได้คุณภาพของพวกเขา เมนูในแต่ละจานเปี่ยมไปด้วยสีสันแบบอิตาลี แต่เรียบง่ายเฉกเช่นญี่ปุ่น เมื่อได้ทานคู่กับไวน์ที่ที่ทางร้านจับคู่มาให้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกับการพักผ่อนมากขึ้น

นอกเหนือจากนี้ที่นี่ยังมีแพ็กเกจให้เลือกพักได้หลายแบบ เริ่มต้นตั้งแต่ 2 วันเป็นต้นไป ซึ่งเป็นแพ็กเกจทัวร์ที่หลากหลาย ให้ผู้ที่ไปเยือนได้เลือกตามที่ตัวเองต้องการ การทัวร์ของ Lumiere winery จะมีผู้บรรยายเป็นแบบญี่ปุ่นสลับอังกฤษ เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมของที่นี่เพิ่มอีกนิดยิ่งไปกว่านั้นยังมีการพาทัวร์ชมไร่องุ่นในการปลูกสไตล์ญี่ปุ่นและสไตล์ยุโรปอีกด้วย เหมาะจะเป็นสถานที่ผ่อนคลายสำหรับคนรักไวน์จริง ๆ

ชวนชมโรงบ่มไวน์ชั้นเลิศที่ตั้งอยู่ในประเทศในแถบทวีปเอเชีย ชิมเพลินแบบไม่ต้องเดินทางไกล

หากคุณนึกถึงไวน์ ประเทศในแถบเอเชียอาจจะไม่ใช่ประเทศแรก ๆ ที่คุณนึกถึง แต่จริง ๆ แล้ว ในทวีปเอเชียก็มีโรงบ่มไวน์ที่รังสรรค์ไวน์ที่มีรสชาติอร่อยและคุณภาพเยี่ยมอยู่หลายที่ ซึ่งไม่แพ้ไวน์ตัวดังจากฝรั่งยุโรปเช่นเดียวกัน โดยประเทศในเอเชียที่มีภูมิอากาศที่เหมาะสมในการปลูกองุ่นสำหรังโรงบ่มไวน์ สามารถผลิตไวน์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงก็คือพม่า ญี่ปุ่นและอินเดีย

โรงบ่มไวน์ Aythaya Vineyard ในประเทศพม่า

มาเริ่มกันที่โรงบ่มไวน์ในเอเชียที่แรกที่อยากจะแนะนำ นั้นก็คือ Aythaya Vineyard ในประเทศพม่า โดยโรงบ่มไวน์นี้ตั้งขึ้นโดย Bert Morsbach ตั้งแต่ปี 1999 ในรัฐ Shan ที่อยู่ทางใต้และใกล้กับทะเลสาบ Inle ที่ใช้สำหรับทำการเพาะปลูกโดยเฉพาะ โดยสวนที่ใช้ปลูกองุ่นของที่นี้จะมีดินปูนและสภาพอากาศโดยรอบที่เหมาะสมกับการนำไปผลิตไวน์นั่นเอง

ไวน์ที่เป็นตัวซิกเนเจอร์ของโรงบ่มไวน์ Aythaya Vineyard ก็จะมีไวน์แดงและไวน์ขาว Aythaya ซึ่งเป็นไวน์ที่เหมาะกับดื่มคู่กับอาหารท้องถิ่นของพม่า

โรงบ่มไวน์ Sula Vineyards ในประเทศอินเดีย

โรงบ่มไวน์ที่ถูกก่อตั้งโดย Rajeev Samant ในปี 1999 โดย Rajeev ได้เล็งเห็นศักยภาพในผืนดินที่เป็นมรดกของครอบครัวที่ตั้งอยู่ใน Nashik ประเทศอินเดีย โดยที่ดินในแถบนี้มีชื่อเสียงในเรื่องของการปลูกองุ่นแบบทานสด สำหรับดินใน Nashik นั้นเป็นดินจากภูเขาไฟ ตั้งแต่หินบะซอลต์จนถึงดินแดงและโคลนที่เหนียวข้น เมื่อรวมกับอากาศเย็น ๆ ของบริเวณนี้ก็จะทำให้กลายเป็นจุดที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการปลูกองุ่นสำหรับการทำไวน์

จึงไม่แปลกใจเลยที่โรงบ่มไวน์ Sula Vineyards กลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วและถูกขนานนามว่า Napa Valley แห่งประเทศอินเดีย โดยมีการผลิตไวน์ตั้งแต่ไวน์แดง ไวน์ขาว ไวน์โรส ไปจนถึงไวน์ซ่าหรือ Sparkling wine นักท่องเที่ยวสามารถมาทัวร์รอบ ๆ โรงบ่มไวน์ได้ โดยทัวร์นี้จะพาคุณไปเยี่ยมชมการผลิตไวน์แต่ขั้นตอนอย่างใกล้ชิด นอกจากนั้นที่โรงบ่มไวน์นี้ยังมีการจัดคอนเสิร์ตในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีอีกด้วย

โรงบ่มไวน์ Château Mercian ในประเทศญี่ปุ่น

ถึงแม้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประเทศญี่ปุ่นก็คือสาเก แต่ในจังหวัด Yamanashi ในญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ใกล้กับฐานของภูเขาฟูจิก็มีโรงบ่มไวน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นเดียวกัน โดยสถานที่ที่บุกเบิกอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ในประเทศญี่ปุ่นก็คือโรงบ่มไวน์ Château Mercian ที่ตั้งขึ้นในปี 1970 โดยโรงบ่มไวน์นี้ได้รับรางวัล “สุดยอดโรงบ่มไวน์แห่งปี” จากรีวิวไวน์เอเชียปี 2016

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนโรงบ่มไวน์นี้สามารถไปทัวร์โรงบ่มไวน์อย่างใกล้ชิด พร้อมกับชิมไวน์ Koshu Kiiroka ซึ่งเป็นไวน์ขาวที่มีรสชาติสดชื่นหรือไวน์ Kikyogahara Merlot ที่มีรสชาติเข้มข้นเย้ายวน นอกจากนั้น นักท่องเที่ยวยังสามารถเข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ไวน์ที่มีการจัดแสดงกรรมวิธีการบ่มไวน์ตั้งแต่โบราณ ซึ่งมีความน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก

ถ้าคุณยังไม่เคยลองชิมไวน์จากประเทศในแถบเอเชียมาก่อนละก็ ควรจะลองดูสักครั้งเมื่อคุณได้มีโอกาสไปเที่ยวในประเทศเหล่านี้ เพราะนอกจากจะมีคุณภาพยอดเยี่ยมแล้ว ไวน์แต่ละประเทศจะถูกผลิตมาให้เหมาะกับอาหารในประเทศนั้น ๆ อีกด้วย

รู้จักกับโรงบ่มไวน์ สถานที่สำคัญในการผลิตไวน์คุณภาพ

                เมื่อพูดถึงโรงบ่มไวน์แล้ว หลายคนที่ไม่ใช่คอไวน์อาจจะไม่ค่อยคุ้นชินกับชื่อนี้มากนัก แต่จะคิดไปถึงสิ่งที่นำมาทำไวน์อย่างองุ่นเสียมากกว่า แต่จริง ๆ แล้วหัวใจหลักอีกอย่างของการผลิตไวน์คุณภาพในทั่วทุกมุมโลก ก็คือสถานที่ที่เรียกว่าโรงบ่มไวน์นี้นี้เอง

โรงบ่มไวน์คืออะไร

                โรงบ่มไวน์ก็คือสถานที่สำหรับผลิตไวน์และเก็บรักษาไวน์ ให้ได้ออกมาเป็นไวน์ที่มีคุณภาพและได้รสชาติตามที่ต้องการนั่นเอง โดยโรงบ่มไวน์ไม่ได้มีลักษณะเฉพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นแบบไหน ทำให้โรงบ่มไวน์แต่ละที่ต่างมีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามแต่เอกลักษณ์และเสน่ห์เฉพาะตัว เช่น โรงบ่มไวน์ขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่อาจจะมาจากพื้นที่ในการปลูกสร้างที่แตกต่างกัน หรือโรงบ่มไวน์ที่มีการก่อสร้างโดยใช้วัสดุที่แตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่ แต่ละสภาพอากาศ เป็นต้น โดยทุกขั้นตอนในการผลิตไวน์นี้ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในโรงบ่มนี้ทั้งสิ้น ตั้งแต่การหมัก การใส่ส่วนผสมต่าง ๆ รวมไปถึงการเก็บรักษาไวน์จนกว่าจะถึงเวลาที่พร้อมนำมาบรรจุขวดด้วย เรียกได้ว่ากว่าจะได้ไวน์คุณภาพออกมาสักหนึ่งขวดก็ต้องอาศัยสถานที่ที่เรียกว่าโรงบ่มไวน์นี่เองที่เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญ

ประเทศไทยเองก็มีโรงบ่มไวน์เหมือนกันนะ

                และหากพูดถึงการผลิตไวน์ในประเทศไทย หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าในบ้านเราก็มีโรงบ่มไวน์ที่มีคุณภาพอยู่เช่นเดียวกัน อย่างไร่องุ่นละโรงบ่มไวน์ที่ชื่อว่า GranMonte (กรานมอนเต้) ที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมาของเรานี่เอง ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่ทั้งหมดกว่าร้อยไร่ และยังมีการปลูกองุ่นรวมถึงผลิตไวน์เป็นของตัวเองอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีอีกหลาย ๆ โรงบ่มอย่าง PB Valley Khao Yai Winery โรงบ่มไวน์คุณภาพอีกที่ในจังหวัดนครราชสีมา ที่มีการปลูกองุ่นถึง 500 ไร่ และยังเป็นโรงบ่มไวน์ที่เรียกว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียนด้วย และที่ขาดไม่ได้คือ Monsoon Valley ไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่เป็นแหล่งผลิตไวน์ชื่อดังที่ได้รับรางวัลระดับโลก อย่างไวน์มอนซูน แวลลีย์ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นไวน์แบรนด์ไทยที่มีรสชาติที่มีเอกลักษณ์และเป็นหนึ่งในไวน์ที่ได้รับความนิยมจากคอไวน์หลากหลายประเทศ

นอกจากนั้นแล้วยังมีโรงบ่มไวน์อีกหลาย ๆ ที่ที่ต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสามารถผลิตไวน์ที่มีคุณภาพออกมาสู่ท้องตลาดได้หลากหลายประเภท ซึ่งจะเห็นว่าในแต่ละพื้นที่ในบ้านเราไม่ว่าจะเป็นภาคไหนก็สามารถปลูกองุ่นและผลิตไวน์ที่มีรสชาติที่ดีและมีคุณภาพออกมาได้ โดยหัวใจหลักก็คือการมีโรงบ่มไวน์ที่ดี มีลักษณะที่ถูกต้องมีมาตรฐานประกอบกับการมีขั้นตอนการผลิตที่ใส่ใจและมีวัตถุดิบที่มีคุณภาพร่วมด้วย เพียงเท่านี้ก็สามารถผลิตไวน์ได้อย่างหลากหลายและสร้างสรรค์รสชาติของไวน์ได้ตามที่ต้องการแล้ว

กีอันติ (Chianti) แห่งทอสคานา พื้นที่ปลูกไวน์ที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นแห่งแรกของโลก

หากเอ่ยถึงแคว้นทอสคานา (Toscana) หรือทัสคานีในภาษาอังกฤษ (Tuscany) หลายคนอาจจะนึกถึงฟลอเรนซ์เมืองหลวงของแคว้นนี้ และนึกถึงหอเอนปิซา ต้นไซปรัสสูงชะลูดเรียงราย หมู่บ้านบนเนินเขา ต้นโอลีฟ ทุ่งสีเขียวสลับเหลือง และไร่องุ่นลดหลั่นตามไหล่เขายาวสุดลูกตา แต่สิ่งหนึ่งที่คนลืมนึกถึงคือที่นี่มีพื้นที่ปลูกองุ่นผลิตไวน์อันโด่งดังของอิตาลีชื่อว่า กีอันติ 

แคว้นทอสคาน่า

                หากใครได้ไปเยือนแคว้นทอสคาน่า เชื่อว่าทุกคนจะต้องหลงรักแคว้นนี้ เพราะที่นี่มีกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรมกระจายให้ชมอยู่ทั่วทั้งแคว้น แต่ละแห่งล้วนงดงามมีคุณค่าจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ไม่ว่าจะเป็นเมือง ฟีเรนเซ หรือที่เราเรียกว่าฟลอเรนซ์ (Firenze/Florence), ปิซา (Pisa), ซานจิมิยาโน (San Gimignano), เซียนนา (Siena), เพียนซา (Pienza) และวาลดอร์เซีย (Val d’Orcia) นอกจากนี้ทัศนียภาพของแคว้นนี้ก็สวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ภาพปราสาท กำแพงเมือง และหมู่บ้านบนเขาที่มีให้เห็นอยู่ทั่วแคว้น เป็นภาพที่ทำให้นึกถึงอัศวินในชุดเกราะ ขี่ม้าอย่างสง่างามผ่านไร่องุ่น นั่นอาจจะเป็นเพราะไร่องุ่นที่นี่ มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ และเรื่องเล่าของอัศวินชาวเซียนนา และอัศวินชาวฟรอเรนซ์ ที่เล่าต่อสืบมาช้านานตั้งแต่ยุคกลาง

ไวน์จากกีอันติ

                พื้นที่ปลูกองุ่นผลิตไวน์ที่มีประวัติยาวนานกว่า 2,000 ปี ในแคว้นทอสคานา ตั้งอยู่ระหว่างเมืองฟลอเรนซ์กับเมืองเซียนนา พื้นที่แห่งนี้เรียกว่า Chianti-Classico เป็นแหล่งปลูกองุ่นผลิตไวน์ที่จดทะเบียนชื่อการค้าเป็นแห่งแรกของโลก เมื่อปี ค.ศ. 1716 โดย แกรนด์ดุ๊ก โคซิโมที่ 3 แห่งตระกูลเมอดิซีอันโด่งดัง เมื่อเอ่ยชื่อ Chianti ทุกคนจะรู้ว่าเป็นไวน์จากอิตาลี แต่ไวน์จากกีอันติที่เป็นพื้นที่ดั้งเดิม จะมีสัญลักษณ์ไก่ดำ ในกรอบชมพูติดอยู่ เป็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับตำนานการแบ่งเขตแดนในยุคอัศวิน

กีอันติ เป็นพื้นที่ที่ไม่มีเขตแดนที่แน่ชัด เนื่องจากพื้นที่ปลูกองุ่นเดิมนั้น ไม่เพียงพอต่อการผลิตไวน์ จึงได้ขยายจากบริเวณเดิมไปมาก แต่ไวน์ที่ผลิตจากบริเวณอื่น ๆ นอกเหนือจากบริเวณเดิมจะระบุไว้ชัดเจนบนฉลาก และไม่มีตราไก่ดำบนขวด นอกจากนี้ยังมีการควบคุมการผลิต และกำหนดคุณภาพไว้อย่างชัดเจน

ความพิเศษของไวน์จากกิอันติ คือ การนำองุ่นพันธุ์ที่ปลูกในพื้นที่มาผลิตไวน์ โดยใช้องุ่นพันธุ์ Sangiovese ในปริมาณ 80 % และองุ่นพันธุ์อื่น ๆ 20%  สีของไวน์จากกีอันติจะเป็นสีทับทิมเข้มอ่อน ตามอายุการหมักบ่ม มีกลิ่นพิเศษจากการหมักบ่ม และกลิ่นดอกไม้และผลไม้ เป็นดรายไวน์ที่มีรสชาติของผลไม้  และรสของสารแทนนินจากการหมักบ่ม

หากมีโอกาสได้ไปเยือนแคว้นทอสคานา อย่าลืมหาเวลาไปชมบรรยากาศอันงดงามเหมือนภาพในโปสการ์ด บนเส้นทางผ่านไร่องุ่นในกีอันติ สามารถแวะชมโรงบ่มไวน์ ชิมไวน์ ซื้อไวน์จากผู้ผลิตได้โดยตรง หรือจะจองทัวร์ “ชิมไวน์” ผ่านบริษัททัวร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะจัดโปรแกรมชิมไวน์แกล้มชีส พาสต้า และเนื้ออบเย็นต่าง ๆ แต่หากไม่ชอบเดินทางกับทัวร์ ก็สามารถท่องเที่ยวด้วยตนเองได้โดยรถโดยสารสาธารณะ, จักรยาน หรือเดิน ถ้าหากขับรถเที่ยวเองบนเส้นทางนี้ หลังแวะชิมไวน์แล้วก็อย่าลืมกฎ “เมาไม่ขับ”

 

โรงบ่มไวน์หวาน Portwine จากโปรตุเกส

ไวน์จากยุโรปหากเอ่ยชื่อพอร์ทไวน์ (Portwine) เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องรู้จัก พอร์ทไวน์เป็นไวน์ที่มีรสชาติหวานที่นิยมดื่มก่อน หรือหลังมื้ออาหาร หรือที่ถูกเรียกว่าไวน์ของหวาน แม้จะเป็นไวน์ที่มีรสชาติหวาน แต่พอร์ทไวน์ก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่ว เสน่ห์ของพอร์ทไวน์ คงไม่ได้มีเพียงแค่ความหวานเป็นแน่

Porto เมือง แห่ง Portwine

โปร์ตู หรือพอร์โต (Porto) หรือ โอพอร์โต (Oporto) เมืองใหญ่เป็นอันดับสองรองจากลิสบอน อยู่ห่างจากลิสบอนขึ้นไปทางเหนือ พอร์โต มีลำน้ำ ดูโร (Douro) ไหลผ่าน ปากแม่น้ำคือประตูสู่มหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งคำว่า โปร์ตู หมายถึงเมืองท่านั่นเอง Porto นอกจากได้ขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก ให้เป็นเมืองแห่งมรดกทางวัฒนธรรมแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่มาของชื่อไวน์ที่มีรสชาติหวานคือ พอร์ทไวน์ ของโปรตุเกสนั่นเอง

Vila Nova de Gaia หรือ Gaia เมืองเล็ก ๆ ฝั่งตรงข้าม Porto ที่เพียงแต่เดินข้ามสะพานโดมหลุยส์ (Ponte Dom Luís I) ซึ่งเชื่อมระหว่าง Porto และGaia เมืองศูนย์กลางของพอร์ทไวน์ มีโรงบ่มไวน์ตั้งเรียงรายอยู่หลากหลายยี่ห้อ รวมทั้งมีบาร์ในบรรยากาศดี ๆ ให้นั่งจิบไวน์ชมบรรยากศของเมืองพอร์โต กับความโรแมนติกของลำน้ำดูโร และสะพานหลุยส์ที่มีฐานล่างละม้ายคล้ายหอไอเฟล

โรงแก็บและบ่มไวน์หวานแห่ง Gaia นั้นสามารถเข้าไปชม และชิมไวน์ต่าง ๆ ได้ตามโปรแกรมที่โรงบ่มแต่ละยี่ห้อนำเสนอ สามารถจองล่วงหน้าเพื่อให้ไกด์นำชม และเล่าเรื่องราวความเป็นมาของไวน์หวานให้ฟัง

พอร์ทไวน์

พอร์ตไวน์ ชื่อนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนการค้า และไวน์จากที่นี่เท่านั้นที่จะถูกเรียกว่า พอร์ทไวน์ โดยบนฉลากจะระบุชื่อ Porto ไว้ชัดเจน พอร์ทไวน์แท้ ๆ จึงมาจาก Porto เท่านั้น

แหล่งปลูกองุ่นเพื่อผลิตพอร์ทไวน์นั้นอยู่ในหุบเขาริมแม่น้ำดูโร ซึ่งเป็นที่รู้จักมาช้านาน และเป็นพื้นที่ปลูกองุ่นที่ขึ้นทะเบียนสงวน สำหรับปลูกองุ่นทำพอร์ตไวน์ นับเป็นการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งที่สามของโลกรองจากแหล่งผลิต Tokaj-Hegyalja ในฮังการี และChianti ในอิตาลี

พันธุ์องุ่นที่สำคัญ ๆ  และเป็นที่รู้จัก ส่วนใหญ่ปลูกในโปรตุเกส พันธุ์ที่นำมาผลิตพอร์ทไวน์ เช่นTouriga Nacional, Tinta Barroca, Touriga Francesca, Tinta Roriz, Tinta Amarela และTinto Cão การผลิตพอร์ทไวน์ในขั้นตอนแรก ๆ จะผลิตจากที่อื่นและขนส่งไวน์มาทางแม่น้ำ มาเก็บและบ่มในโรงบ่มที่ Gaia  แต่ในปัจจุบันจะขนมาโดยรถบรรทุก  ส่วนเรือที่ใช้ขนส่งไวน์มาแต่ดั้งเดิมเราจะเห็นจอดประดับไว้ให้ชมริมแม่น้ำดูโรนั่นเอง

พอร์ทไวน์แบ่งเป็นสองลักษณะ การหมักบ่มองุ่นแดงแบบแรกคือการหมักองุ่นแดง 2-3ปี ในถังสแตนเลส ก่อนบรรจุลงขวด เรียกว่าRuby  ส่วนการหมักบ่มองุ่นแดงในถังไม้จะเรียกว่า Tawny

คุณภาพ รสชาติ และราคาของพอร์ตไวน์นั้นมีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับวิธีการและอายุของการหมักบ่ม บางขวดก็หมักบ่มถึง 40 ปี ซึ่งพอร์ทไวน์ที่หมักบ่มระหว่าง 10-40 ปีจะได้ชื่อว่าเป็น วินเทจ (Vintage) พอร์ทไวน์

หากอยากลองรสชาติไวน์ที่หวานละมุนติดลิ้น ต้องลองพอร์ทไวน์สักครั้ง พอร์ทไวน์นิยมดื่มเย็นแต่ไม่เย็นจัด ดื่มแกล้มกับของหวานประเภทช็อกโกแลตก็ยิ่งเพิ่มความหวานกลมกล่อม หากได้ไปลิ้มลองถึงถิ่น จะยิ่งได้บรรยากาศ ทั้งการชมโรงบ่มไวน์ และการจิบไวน์ริมแม่น้ำดูโร ชมพระอาทิตย์ลับฟ้าในทะเลแอตแลนติก

 

Alsace บนเส้นทางไวน์ที่เก่าแก่และสวยงามที่สุดของฝรั่งเศส

เมื่อกล่าวถึงไวน์ ไวน์ฝรั่งเศสจะผุดขึ้นมาในหัวเป็นลำดับแรก ๆ เพราะชื่อเสียงความคลาสสิคและผู้คนนิยมดื่มไวน์กันอย่างกว้างขวาง ในฝรั่งเศสนั้นคนส่วนใหญ่จะดื่มไวน์พร้อมมื้ออาหารเกือบทุกมื้อ อย่างน้อยก็หนึ่งแก้วเพื่อเพิ่มรสชาติให้อาหารและเพิ่มความสุนทรี เมือง อาลซัส (Alsace) เป็นแหล่งปลูกองุ่นสำหรับผลิตไวน์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ในบริเวณใกล้เคียงยังมีสถานที่ให้ท่องเที่ยวมากมาย เที่ยวไปชิมไวน์ไป สุขใจในอาลซัส

อาลซัส (Alsace)

ก่อนที่จะมาเป็นของฝรั่งเศสเช่นในปัจจุบัน อาลซัสเคยเป็นเมืองหนึ่งของเยอรมันมาก่อน ก่อนที่จะถูกฝรั่งเศสแย่งชิงไปในยุคสงคราม และเกิดการผลัดเปลี่ยนแย่งชิงกันปกครองระหว่างเยอรมันกับฝรั่งเศสมาหลายยุคสมัย เพราะเคยเป็นเมืองของเยอรมันมาก่อนผู้คนในเมืองนี้จึงพูดภาษาเยอรมันได้ เมืองนี้อยู่ติดชายแดนเยอรมันและสวิตเซอร์แลนด์ มีแม่น้ำไรน์ (Rhein) เป็นเขตแดนระหว่างประเทศ

                อาลซัสเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ชวนให้เดินชมไปอย่างช้า ๆ ปราสาทในยุคกลางคือความภูมิใจของคนท้องถิ่น บ้านเรือนในยุคเรเนซองส์ การประดับประดาดอกไม้ในหมู่บ้านและตรอกซอกซอย เป็นความงามที่เหมือนหยุดเวลาเอาไว้

ชาวอาลซัสมีประเพณีและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ที่เรียกร้องเชิญชวนให้ผู้คนหลั่งไหลมาเยือนไม่ขาดสาย ในปี ค.ศ. 1953 อาลซัสได้เปิดเส้นทางท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ และได้จัดฉลองครบรอบ 60 ปี เส้นทางท่องเที่ยวแห่งนี้ไปเมื่อปี ค.ศ. 2013 

เส้นทางไวน์แห่ง Alsace

                ประวัติความเป็นมาเรื่องการปลูกองุ่นผลิตไวน์ของอาลซัสนั้นยาวนานมาตั้งแต่ก่อนยุคโรมัน บนเส้นทางไวน์ที่ยาว 170 กิโลเมตรจาก มาร์เลนไฮม์ (Marlenheim) ถึง ธันน์ Thann ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางไวน์ที่เก่าแก่และสวยงามที่สุดของประเทศฝรั่งเศส

ไร่องุ่นสูงต่ำเรียงรายสลับกันยาวสุดลูกหูลูกตา ทั้งในหุบเขา และบนเนินเขา รวมทั้งมีหมู่บ้านแทรกสลับระหว่างไร่องุ่น ถึง 70 หมู่บ้าน หลาย ๆ หมู่บ้านเหล่านี้จะร่วมมือร่วมใจกันจัดงานประเพณีเทศกาลไวน์เพื่อต้อนรับผู้มาเยือน โดยสลับกันจัดงานเทศกาลนี้ตั้งแต่เดือนเมษายน ไปจนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี ในงานเทศกาลจะมีขบวนพาเหรด การแสดงพื้นเมือง วงดนตรี การชิมไวน์ บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นมิตร 

ไวน์และโรงบ่มไวน์

ไวน์ที่ปลูกในอาลซัสส่วนใหญ่เป็นไวน์ขาว ซึ่งมีการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดบนฉลากจะระบุที่มา รวมทั้งมีกฎเกณฑ์ในการบรรจุลงขวดด้วย ขวดไวน์ของอาลซัสเป็นขวดเรียวทรงยาว ที่เรียกว่า ขลุ่ยของอาลซัส และแก้วไวน์แบบดั้งเดิมของชาวอาลซัสก็จะแปลกออกไป เป็นแก้วทรงสั้นแต่ก้านแก้วยาวและมีสีเขียว มีทั้งก้านเรียวและก้านแบบป้อม ๆ โรงบ่มไวน์ขนาดเล็กมีอยู่ทั่วไปที่เปิดให้เข้าชมและชิมไวน์ บางแห่งจะมีที่พักให้เข้าพักได้ด้วย หากเข้าพักที่พักในลักษณะเช่นนี้ก็จะได้สัมผัสการผลิตไวน์แบบใกล้ชิด หรือจะชิมไวน์แบบสด ๆ จากถังหมักไวน์ก็มีให้ชิม

การเดินทางท่องเที่ยวในอาลซัสนั้นสะดวกทั้งทางรถไฟ แบบเดินเท้า เช่าจักรยาน หรือรถยนต์ หากท่านอยากได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่แปลกออกไป ขอแนะนำเส้นทางไวน์แห่งนี้ ซึ่งอาจจะทำให้คนรักการเดินทางหันมารักไวน์ด้วย

 

ไร่องุ่นภูเขาไฟ พิพิธภัณฑ์โรงบ่มไวน์โบราณ แห่ง Lanzarote

เกาะลันซาโรเท (Lanzarote) เกาะหัวโล้นที่แทบไม่มีต้นไม้สีเขียวให้เห็น ที่นี่กลับมีไร่องุ่นภูเขาไฟ และมีพิพิธภัณฑ์โรงบ่มไวน์โบราณที่บอกเล่าความเป็นมายาวนาน ไม่น่าเชื่อว่าไร่องุ่นจะปลูกขึ้นได้ในดิน หิน ภูเขาไฟ และในสภาพอากาศที่แทบจะไม่เคยเจอฝน แถมโรงบ่มไวน์ที่นี่ก็น่านั่งชิมไวน์จนไม่อยากลุกไปไหน

Lanzarote เกาะภูเขาไฟ

ลานซาโรเท เป็นเกาะหนึ่งในหมู่เกาะแกรนด์คานารี (Canary Islands) ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศสเปน สภาพโดยทั่วไปเป็นพื้นที่ราบซึ่งมีหลุม บ่อ แอ่ง สลับภูเขาหัวโล้นที่ไม่สูงนัก เนื่องจากเกาะแห่งนี้เคยเกิดภูเขาไฟระเบิดอย่างรุนแรง ระหว่างปี ค.ศ. 1730 ถึงปี ค.ศ. 1736 และเกิดอีกครั้งในปี ค.ศ. 1824 ซึ่งธารลาวาร้อน ๆ จากภูเขาไฟได้ไหลลงไปทำลายล้างพืชพันธุ์ สัตว์ป่า หมู่บ้านเป็นบริเวณกว้าง เหลือเพียงพื้นที่ส่วนน้อยที่ไม่โดนลาวาทำลาย แต่ก็ได้รับผลกระทบจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทำให้พื้นที่กลายเป็นที่ราบ เป็นหลุม เป็นแอ่งและมีเศษเหมือนถูกระเบิดอยู่ทั่วบริเวณของเกาะ ผู้คนที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะได้อพยพออกจากเกาะไปอยู่ที่อื่น ๆ เพราะแทบจะทำมาหากินอะไรบนเกาะนี้ไม่ได้ แถมยังเคยเกิดสภาวะแล้งขาดแคลนน้ำจืดอย่างหนักอีกด้วย

บนพื้นที่ แปดแสนสี่หมื่นกว่าตารางกิโลเมตรบนเกาะ ในปัจจุบันมีผู้คนอาศัยอยู่ราว ๆ หนึ่งแสนสี่หมื่นกว่าคน หลังจากที่สร้างสนามบิน การเดินทางสะดวกสบายขึ้นจึงมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนไปเที่ยวลันซาโรเทอยู่ไม่ขาดสาย

สภาพเกาะสีแดง ๆ น้ำตาล ๆ ดูแห้งแล้ง ภูเขาหัวโล้น แผ่นดินสูง ๆ ต่ำ ๆ ชายหาด หน้าผา ปล่องภูเขาไฟ ไร่องุ่น เป็นเสน่ห์ที่ดูสวยแปลกตาออกไป พืชที่เห็นทั่วไปบนเกาะนี้คือตะบองเพชร และบนเกาะนี้มีสวนตะบองเพชรขนาดใหญ่ให้เขาชม ซึ่งมีตะบองเพชรแปลก ๆ ที่แทบจะไม่เคยเห็นในที่อื่น ๆ

ไร่องุ่นหินภูเขาไฟและโรงบ่มไวน์โบราณ

                ใครจะไปเชื่อว่าเกาะที่ดูแห้งแล้งแห่งนี้จะมีเนื้อที่สำหรับปลูกองุ่นและมีโรงบ่มไวน์ บริเวณที่เป็นแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติ La Geria ซึ่งกินพื้นที่กว้างสุดตา จะเห็นภาพแปลก ๆ คือการวางเรียงหินก้อนเล็ก ๆ ซ้อนกันเป็นวงกลมบ้าง ครึ่งวงกลมบ้าง สี่เหลี่ยมบ้าง มีทั้งที่วางซ้อนกันขึ้นเฉย ๆ หรือมีลักษณะเหมือนกันปากหลุมเอาไว้ ในหลุมที่ลึกพอประมาณจะเห็นต้นองุ่นอยู่ในหลุมนั้น  ซึ่งขนาดความกว้าง ความลึกของหลุม และความสูงของหิน จะขึ้นอยู่กับขนาดของต้นองุ่น การนำหินมาวางเรียงซ้อนกันเช่นนี้เป็นการช่วยกันลมให้ต้นองุ่น

แม้จะไม่มีฝนตก แต่องุ่นก็รอดเพราะหินลาวาก้อนเล็ก ๆ ที่ปลูกต้นองุ่นนั้น กลางวันจะดูดซับความร้อน แต่กลางคืนจะดูดเก็บความชื้นจากอากาศ การกักเก็บความชื้นของก้อนหินเล็ก ๆ เหล่านี้เป็นแหล่งน้ำให้องุ่นเจริญเติบโต จนผลิตไวน์รสชาติดีออกมา

บนเกาะแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโรงบ่มไวน์ 1 ใน 10 ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศสเปน และยังมีพิพิธภัณฑ์โรงบ่มไวน์โบราณให้ชมด้วย ซึ่งมีเครื่องไม้เครื่องมือเกี่ยวกับการผลิตไวน์ ตั้งแต่ขั้นตอนแรก ๆ จนถึงขั้นตอนสุดท้าย รวมถึงวิวัฒนาการการผลิตเครื่องมือต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 19, ศตวรรษที่ 20 จนถึงยุคปัจจุบัน

หากเดินเที่ยวชมไร่ไวน์ภูเขาไฟ และแวะชมพิธิภัณฑ์จนเหนื่อยแล้ว จะแวะซื้อไวน์กลับบ้าน หรือจะนั่งจิบไวน์ชมสวนตะบองเพชรต่อก็ได้ แต่ขอแนะนำว่าหากท่านขับรถยนต์ก็มิควรเผลอจิบหรือชิมไวน์จนเพลิน เพราะที่นี่ก็ไม่ต่างจากที่อื่น ๆ คือ “เมาห้ามขับ”

 

ไร่องุ่นอินทรีย์และโรงบ่มไวน์ แห่งสามเหลี่ยมทองคำ เยอรมนี

เขตชายแดนระหว่างสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี มีไร่องุ่นอินทรีย์ปลูกเรียงรายให้เห็นอยู่ทั่วบริเวณ รวมทั้งมีโรงบ่มไวน์ขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วไป ไร่องุ่นอินทรีย์เหล่านี้ ปลูกในบริเวณที่เรียกว่า Dreiländereck หรือประมาณสามเหลี่ยมทองคำของประเทศไทยนั่นเอง ไร่องุ่นอินทรีย์ และโรงบ่มไวน์อยู่ใกล้กับแม่น้ำไรน์ (Rhein) ซึ่งไหลผ่านหลายประเทศ

 Dreiländereck สามเหลี่ยมทองคำของสามประเทศ

ดรายแลนเดอร์เอ็ค (Dreiländereck) หมายถึงมุมสามเหลี่ยมของสามประเทศ และในบริเวณรอยต่อสามเหลี่ยมทองคำแห่งนี้ นับเป็นเขตอุตสาหกรรมที่คึกคักของทั้งสามประเทศ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในฝรั่งเศส แถบเมืองเมลุส (Mulhouse) ในเยอรมนี แถบเมืองเลอรัคช์  (Lörrach) และในสวิตเซอร์แลนด์ แถบเมืองบาเซิล (Basel) ต่างเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างประเทศไปมาได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ หรือเดินเท้าข้ามสะพานที่ทอดผ่านลำน้ำไรน์ที่เชื่อมระหว่างประเทศ

คนฝรั่งเศส และคนสวิสมักจะเดินทางข้ามมาซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตของเยอรมัน เพราะราคาถูกกว่าในประเทศของตน ส่วนคนเยอรมันจะข้ามไปเดินตลาด และซื้อของในฝรั่งเศส เพราะเชื่อว่าได้ของสดคุณภาพดี คนฝรั่งเศสและคนเยอรมันจะขับรถข้ามพรมแดนไปเติมน้ำมันทางฝั่งสวิตฯ เพราะราคาน้ำมันในสวิตฯ ถูกว่าในประเทศของตน ในแถบนี้จึงเห็นรถยนต์ของทั้งสามประเทศวิ่งอยู่บนถนนของกันและกันอย่างหนาตา ถือเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันอย่างสมดุลเลยทีเดียว

ที่มาของไวน์อินทรีย์และราชินีไวน์

ประเทศเยอรมันเป็นหนึ่งในประเทศยุโรปลำดับต้น ๆ ที่ประชาชนนิยมบริโภคอาหารอินทรีย์ซึ่งปลอดสารพิษ หรือที่เรียกตามภาษาเยอรมันสั้น ๆ ว่า บีโอ (Bio)  ในซุปเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ จะมีมุมขายอาหาร พืช ผัก ไข่ ฯลฯ ปลอดสารพิษ ในเมืองแทบทุกเมืองจะมีร้าน Bio ตั้งอยู่ หรือตามหมู่บ้านเล็ก ๆ ในชนบทที่คนส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรมคนในชุมชน หรือชุมชนใกล้เคียงก็สามารถไปเลือกซื้ออาหารอินทรีย์ได้โดยตรงจากเกษตรกร ไล่ไปตั้งแต่ นมวัวสด ๆ ไข่ ไก่ กระต่าย ผัก ผลไม้  ขนมปังฯลฯ

จึงไม่แปลกอะไรนักที่จะพบเห็นไร่องุ่นอินทรีย์ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วไปเกือบทุกส่วนที่ปลูกองุ่นของประเทศ รวมทั้งโรงบ่มไวน์อินทรีย์เล็ก ๆ แบบอุตสาหกรรมในครอบครัวก็มีให้แวะชมแวะชิม อยู่ทั่วไป

ในแถบนี้มีการจัดตั้งสมาคมผู้ปลูกองุ่น และสมาคมผู้ผลิตไวน์ขนาดย่อม ซึ่งเป็นตัวแทนคัดกรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ จัดหาตลาด ประชาสัมพันธ์สินค้า และจัดงานเทศกาลไวน์ประจำปี โดยการออกร้านและทุก ๆ สองปี จะมีการประกวดเพื่อเฟ้นหาราชินีไวน์ ผู้ที่ได้ตำแหน่งนี้จะเป็นเสมือนทูตที่เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อแนะนำไวน์ในท้องถิ่นของตนให้เป็นที่รู้จัก

แม้ว่าไวน์จากบริเวณสามเหลี่ยมทองคำแห่งนี้ จะไม่ได้มีชื่อเสียงในวงกว้างเท่าใดนัก แต่ไวน์อินทรีย์ที่นี่ราคาถูกใจ รสชาติถูกลิ้น เป็นไวน์อินทรีย์ที่แทบทุกบ้านมีติดบ้านไว้ดื่มล้างคอในมื้ออาหารแทนไวน์มีชื่อราคาแพง หรือไว้เปิดรับแขกผู้มาเยือนให้ได้ชิมไวน์ประจำถิ่น โดยมีคำบอกเล่าถึงที่มาที่ไปของไวน์จากเจ้าบ้านเป็นของแถม

 

เที่ยวไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์ริมทะเลสาบ Thun ที่เมือง Spiez ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้มีแค่ภูมิประเทศที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังมีไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์ให้ชมและให้ชิมด้วย บนเส้นทางยอดฮิตเช่น เมืองอินเทอร์ลาเคน (Interlaken) บริเวณริมทะเลสาบทูน (Thunersee) มีไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์เล็ก ๆ ตั้งอยู่ ในวันที่ไม่อยากขึ้นชมยอดเขา แต่อยากเปลี่ยนบรรยากาศไปชมวิวทิวทัศน์สัมผัสธรรมชาติริมทะเลสาบ เดินชมไร่องุ่น จิบไวน์ท้องถิ่นจากโรงบ่มไวน์ ก็อาจช่วยเติมเต็มความสุนทรีในใจให้การท่องเที่ยวครั้งนี้ครบเครื่องยิ่งขึ้น

เมือง Spiez

เมืองซเปียส หรือสปีซ ตามที่คนไทยเราออกเสียงนั้น ถ้าออกเสียงตามภาษาเยอรมันคำว่า Spiez จะออกเสียงว่า ชเปียซ หากท่านจะสอบถามเส้นทางของเมืองนี้กับคนท้องถิ่นจึงควรออกเสียงตามภาษาถิ่น มิเช่นนั้นคนที่ท่านถามเขาอาจจะบอกว่าไม่รู้จักเมืองนี้ก็เป็นได้ จากอินเทอร์ลาเคนเดินทางไปชเปียซโดยรถไฟ จะใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเท่านั้น หรือจะเลือกเดินทางโดยเรือจากอินเทอร์ลาเคนก็ได้ มีเรือท่องเที่ยวชมทะเลสาบทูน เส้นทางอินเทอร์ลาเคน-ทูน มาแวะลงชเปียซ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้มีเส้นทางเดินเที่ยวริมทะเลสาบทูนและเส้นทางเดินชมไร่องุ่นในมุมสูงที่มองเห็นตัวเมือง ท่าเรือ และปราสาทชเปียสที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบได้อย่างชัดเจน ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนั้น มุมนี้จะเป็นมุมที่โรแมนติกที่สุดเลยทีเดียว

ไร่องุ่น โรงบ่มไวน์ใน Spiez และในสวิตเซอร์แลนด์

พื้นที่ปลูกองุ่นในเมืองชเปียซอยู่บริเวณริมทะเลสาบทูน ไร่องุ่นเรียงรายเป็นแถวลดหลั่นจากมุมสูงสู่มุมต่ำ ซึ่งเป็นมุมที่มีแสงแดดส่องถึงมากที่สุดของเมือง องุ่นพันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุดในแถบนี้คือพันธุ์ รีสลิ่ง (Riesling), ซีลวาเน (Sylvaner), บลูเบอร์กันดี( Blueburgundy) ส่วนไวน์ที่ผลิตในแถบนี้ก็มีทั้งไวน์ขาว ไวน์แดง และไวน์สีชมพู หรือไวน์กุหลาบ (Rose`)

โรงบ่มไวน์เล็ก ๆ ที่กระจายอยู่หลาย ๆ แห่งในเมืองชเปียซสามารถแวะเข้าไปชมและชิมไวน์ได้ รวมทั้งมีไวน์จำหน่ายให้ท่านเลือกซื้อกลับบ้าน หรือจะนำกลับไปจิบแกล้มฟองดู (Fondue) อาหารสวิส ที่นิยมดื่มไวน์ขาวควบคู่ไปด้วย ส่วนไวน์แดงก็อาจจะนำไปรับประทานแกล้มชีสหลากหลายชนิดที่ขึ้นชื่อของที่นี่ อาทิ ชีสแอลป์ (Alpkäse),  ชีสเอมเมนทาล (Emmental), ชีสกรูเยร์ (Gruye`re),  ชีสอัพเพนเซลเลอร์ (Appenzeller) ฯลฯ

ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้นมีแหล่งปลูกองุ่นและผลิตไวน์อยู่หลายแห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ แหล่งปลูกองุ่น และผลิตไวน์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในแถบวัลลิส (Wallis), วัดท์แลนด์ (Waadtland), เจนีวา (Genf), เทสสิน (Tessin) แต่ไวน์ส่วนใหญ่จะผลิตและจำหน่ายภายในประเทศเท่านั้น มีไวน์สวิสเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ที่ส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ

ชเปียสเป็นเพียงพื้นที่เล็ก ๆ ที่ปลูกองุ่นและผลิตไวน์ เมื่อเทียบกับส่วนอื่น ๆ ที่ผลิตไวน์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไวน์จากชเปียสนั้นถือว่าราคาค่อนข้างสูง หากเทียบราคากับไวน์ที่นำเข้ามาจากต่างแดน แต่การได้มาเที่ยวประเทศที่สวยงาม ได้จิบไวน์ท้องถิ่นที่หายาก อาจจะช่วยเพิ่มความทรงจำแบบพิเศษ ๆ ให้กับการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ของท่าน