Tag Archives: ไร่องุ่น

Mercouri Estate แหล่งผลิตไวน์ชั้นยอด ที่แอบซ่อนอยู่ในประเทศกรีซ

Mercouri Estate ตั้งอยู่ใน Western Peloponnese บนที่ราบสูงของคาบสมุทร Ichthis ใกล้ ๆ หมู่บ้าน Korakochori ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทซกรีซ นับจากโอลิมเปียโบราณ ผืนดินแห่งนี้มีประวัติยาวนานกว่า 150 ปี ว่าเป็นอาณาบริเวณที่ใช้ผลิตไวน์, น้ำมันมะกอกและในสมัยก่อนนั้น องุ่นโครินเธียน (หรือลูกเกด) ที่ใช้ผลิตไวน์ เป็นของตระกูล Mercouri ที่มีต้นตระกูลอยู่ใน Peloponnese และทั่วทุกทวีป

การก่อตั้งผืนดินให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ใช้ผลิตไวน์ชั้นยอดของตระกูล Mercouri เริ่มขึ้นในปี 1864 โดย Theodoros Mercouri นับแต่ก่อนตั้งนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้เขาก็เริ่มปลูกองุ่นสายพันธุ์ Refosco ซึ่งเป็นองุ่นสายพันธุ์ทางเหนือของอิตาลี ต่อมา Theodorus ได้ใช้พื้นที่กว่า 40 เอเคอร์ที่เขามีทำการปลูกองุ่นหลากหลายสายพันธุ์อีกด้วย

การเติบโตจากไร่องุ่น สู่อุตสาหกรรมการผลิตไวน์ด้วยองุ่นชั้นดี

ตระกูล Mercouri ได้ทำให้ไร่กลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมเพื่อใช้ผลิตไวน์ นับตั้งแต่ที่เริ่มผลิตไวน์จากองุ่นสายพันธุ์ Refosco ได้กลายเป็นที่รู้จักในท้องถิ่น ในปี 1930 Leonidas Mercouri ได้พัฒนาโรงงานผลิตไวน์ที่ทันสมัย ซึ่งมีห้องใต้ดินที่เก็บไวน์ได้ประมาณ 300 ตัน ใช้งานได้จนถึงปี 1960

เมื่อดำเนินงานมาถึงช่วงปี 1985 ในยุคของตระกูล Mercouri รุ่นที่ 3 และ รุ่นที่ 4 ได้เริ่มมีการวางแผนการผลิตที่เป็นระบบมากขึ้น เพื่อทำให้การผลิตไวน์ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น คนรุ่นใหม่ได้เริ่มขยายพื้นที่การผลิตไวน์ นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นมาใช้ จนทำให้ Mercouri Estate กลายเป็นที่รู้จักในเรื่องการผลิตไวน์ชั้นยอดในปัจจุบัน

ไวน์คุณภาพสูงและไร่องุ่นที่ได้รับการรับรองระดับสากล

Mercouri Estate ได้ปลูกองุ่นสายพันธุ์ชั้นยอดและผลิตไวน์คุณภาพสูง จนเป็นที่รับรู้และได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล อย่าง Best Farming Practices อีกด้วย ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวช่วยให้ Mercouri Estate เติบโตจนถึงปัจจุบันนั้น ก็คือ องุ่นที่ใช้ผลิตไวน์มากกว่า 15 สายพันธุ์ จากแหล่งกำเนิดทั้งกรีซ, ฝรั่งเศสและอิตาลี ตัวอย่างเช่น

  • สายพันธุ์Refosco องุ่นที่เกิดจากการผสมระหว่างองุ่นพันธุ์พื้นเมืองสองสายพันธุ์ อย่าง Refosco Mercouri ที่ปลูกไว้ตั้งแต่ปี 1870 และ Refosco dal Penducolo Rosso องุ่นที่มีต้นกำเนิดจากอิตาลี หรือในฝรั่งเศสจะเรียกว่า Mondeuse Noir
  • สายพันธุ์ Mavrodaphne, Agiorgitiko และ Avgoustiatis องุ่นที่มีความสำคัญของกรีก
  • สายพันธุ์ Syrah, Mourvedre และ Grenache rouge เป็นองุ่นแดงพันธุ์พื้นเมืองของฝรั่งเศสและอิตาลี
  • สายพันธุ์ Negroamaro เป็นองุ่นที่มีต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ
  • สายพันธุ์ Assyrtiko และ Robola คือองุ่นหวานสายพันธุ์สีขาวที่สำคัญของกรีซ
  • สายพันธุ์ Viognier องุ่นสีขาวจากฝรั่งเศส
  • สายพันธุ์ Ribolla Gialla ของอิตาลี ที่มีต้นกำเนิดมาจากกรีกโบราณ

สำหรับไวน์ที่ทำให้ Mercouri Estate เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ก็คือ Domaine Mercouri ที่ถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของ Mercouri Estate เลยก็ว่าได้ ลักษณะที่โดดเด่นนอกจากสีแดงที่มองเห็นด้วยตาแล้ว กลิ่นที่ได้ยังหอมละมุน จะสัมผัสความอบอวลของผลไม้สีแดง ความนุ่มนวลของช็อคโกแลตและกาแฟ กลมกล่อมไปพร้อมกับวานิลาและอบเชย บ่มด้วยถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสว่า 10-12 เดือน และพักอยู่ในขวดอีก 6 เดือน ซึ่งแต่ละปีจะมีการผลิตเพียง 40,000 ขวดเท่านั้น

การสร้างพื้นที่อุตสาหกรรมจากครอบครัว จนเติบโตกลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมไวน์ที่สำคัญของตระกูล Mercouri ทำให้นักชิมไวต่างได้ลิ้มลองรสชาติของไวน์ชั้นเลิศอีกหลากหลาย ถ้าหากคุณคือคนที่ได้สัมผัสไวน์จาก Mercouri Estate คุณอาจจะลิ้มรสชาติของไวน์ชั้นดีจากแหล่งกำเนิดที่แอบซ่อนอยู่ในประเทศกรีซก็เป็นได้

รู้จักกับโรงบ่มไวน์ สถานที่สำคัญในการผลิตไวน์คุณภาพ

                เมื่อพูดถึงโรงบ่มไวน์แล้ว หลายคนที่ไม่ใช่คอไวน์อาจจะไม่ค่อยคุ้นชินกับชื่อนี้มากนัก แต่จะคิดไปถึงสิ่งที่นำมาทำไวน์อย่างองุ่นเสียมากกว่า แต่จริง ๆ แล้วหัวใจหลักอีกอย่างของการผลิตไวน์คุณภาพในทั่วทุกมุมโลก ก็คือสถานที่ที่เรียกว่าโรงบ่มไวน์นี้นี้เอง

โรงบ่มไวน์คืออะไร

                โรงบ่มไวน์ก็คือสถานที่สำหรับผลิตไวน์และเก็บรักษาไวน์ ให้ได้ออกมาเป็นไวน์ที่มีคุณภาพและได้รสชาติตามที่ต้องการนั่นเอง โดยโรงบ่มไวน์ไม่ได้มีลักษณะเฉพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นแบบไหน ทำให้โรงบ่มไวน์แต่ละที่ต่างมีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามแต่เอกลักษณ์และเสน่ห์เฉพาะตัว เช่น โรงบ่มไวน์ขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่อาจจะมาจากพื้นที่ในการปลูกสร้างที่แตกต่างกัน หรือโรงบ่มไวน์ที่มีการก่อสร้างโดยใช้วัสดุที่แตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่ แต่ละสภาพอากาศ เป็นต้น โดยทุกขั้นตอนในการผลิตไวน์นี้ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในโรงบ่มนี้ทั้งสิ้น ตั้งแต่การหมัก การใส่ส่วนผสมต่าง ๆ รวมไปถึงการเก็บรักษาไวน์จนกว่าจะถึงเวลาที่พร้อมนำมาบรรจุขวดด้วย เรียกได้ว่ากว่าจะได้ไวน์คุณภาพออกมาสักหนึ่งขวดก็ต้องอาศัยสถานที่ที่เรียกว่าโรงบ่มไวน์นี่เองที่เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญ

ประเทศไทยเองก็มีโรงบ่มไวน์เหมือนกันนะ

                และหากพูดถึงการผลิตไวน์ในประเทศไทย หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าในบ้านเราก็มีโรงบ่มไวน์ที่มีคุณภาพอยู่เช่นเดียวกัน อย่างไร่องุ่นละโรงบ่มไวน์ที่ชื่อว่า GranMonte (กรานมอนเต้) ที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมาของเรานี่เอง ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่ทั้งหมดกว่าร้อยไร่ และยังมีการปลูกองุ่นรวมถึงผลิตไวน์เป็นของตัวเองอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีอีกหลาย ๆ โรงบ่มอย่าง PB Valley Khao Yai Winery โรงบ่มไวน์คุณภาพอีกที่ในจังหวัดนครราชสีมา ที่มีการปลูกองุ่นถึง 500 ไร่ และยังเป็นโรงบ่มไวน์ที่เรียกว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียนด้วย และที่ขาดไม่ได้คือ Monsoon Valley ไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่เป็นแหล่งผลิตไวน์ชื่อดังที่ได้รับรางวัลระดับโลก อย่างไวน์มอนซูน แวลลีย์ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นไวน์แบรนด์ไทยที่มีรสชาติที่มีเอกลักษณ์และเป็นหนึ่งในไวน์ที่ได้รับความนิยมจากคอไวน์หลากหลายประเทศ

นอกจากนั้นแล้วยังมีโรงบ่มไวน์อีกหลาย ๆ ที่ที่ต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสามารถผลิตไวน์ที่มีคุณภาพออกมาสู่ท้องตลาดได้หลากหลายประเภท ซึ่งจะเห็นว่าในแต่ละพื้นที่ในบ้านเราไม่ว่าจะเป็นภาคไหนก็สามารถปลูกองุ่นและผลิตไวน์ที่มีรสชาติที่ดีและมีคุณภาพออกมาได้ โดยหัวใจหลักก็คือการมีโรงบ่มไวน์ที่ดี มีลักษณะที่ถูกต้องมีมาตรฐานประกอบกับการมีขั้นตอนการผลิตที่ใส่ใจและมีวัตถุดิบที่มีคุณภาพร่วมด้วย เพียงเท่านี้ก็สามารถผลิตไวน์ได้อย่างหลากหลายและสร้างสรรค์รสชาติของไวน์ได้ตามที่ต้องการแล้ว

เที่ยวไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์ริมทะเลสาบ Thun ที่เมือง Spiez ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้มีแค่ภูมิประเทศที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังมีไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์ให้ชมและให้ชิมด้วย บนเส้นทางยอดฮิตเช่น เมืองอินเทอร์ลาเคน (Interlaken) บริเวณริมทะเลสาบทูน (Thunersee) มีไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์เล็ก ๆ ตั้งอยู่ ในวันที่ไม่อยากขึ้นชมยอดเขา แต่อยากเปลี่ยนบรรยากาศไปชมวิวทิวทัศน์สัมผัสธรรมชาติริมทะเลสาบ เดินชมไร่องุ่น จิบไวน์ท้องถิ่นจากโรงบ่มไวน์ ก็อาจช่วยเติมเต็มความสุนทรีในใจให้การท่องเที่ยวครั้งนี้ครบเครื่องยิ่งขึ้น

เมือง Spiez

เมืองซเปียส หรือสปีซ ตามที่คนไทยเราออกเสียงนั้น ถ้าออกเสียงตามภาษาเยอรมันคำว่า Spiez จะออกเสียงว่า ชเปียซ หากท่านจะสอบถามเส้นทางของเมืองนี้กับคนท้องถิ่นจึงควรออกเสียงตามภาษาถิ่น มิเช่นนั้นคนที่ท่านถามเขาอาจจะบอกว่าไม่รู้จักเมืองนี้ก็เป็นได้ จากอินเทอร์ลาเคนเดินทางไปชเปียซโดยรถไฟ จะใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเท่านั้น หรือจะเลือกเดินทางโดยเรือจากอินเทอร์ลาเคนก็ได้ มีเรือท่องเที่ยวชมทะเลสาบทูน เส้นทางอินเทอร์ลาเคน-ทูน มาแวะลงชเปียซ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้มีเส้นทางเดินเที่ยวริมทะเลสาบทูนและเส้นทางเดินชมไร่องุ่นในมุมสูงที่มองเห็นตัวเมือง ท่าเรือ และปราสาทชเปียสที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบได้อย่างชัดเจน ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนั้น มุมนี้จะเป็นมุมที่โรแมนติกที่สุดเลยทีเดียว

ไร่องุ่น โรงบ่มไวน์ใน Spiez และในสวิตเซอร์แลนด์

พื้นที่ปลูกองุ่นในเมืองชเปียซอยู่บริเวณริมทะเลสาบทูน ไร่องุ่นเรียงรายเป็นแถวลดหลั่นจากมุมสูงสู่มุมต่ำ ซึ่งเป็นมุมที่มีแสงแดดส่องถึงมากที่สุดของเมือง องุ่นพันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุดในแถบนี้คือพันธุ์ รีสลิ่ง (Riesling), ซีลวาเน (Sylvaner), บลูเบอร์กันดี( Blueburgundy) ส่วนไวน์ที่ผลิตในแถบนี้ก็มีทั้งไวน์ขาว ไวน์แดง และไวน์สีชมพู หรือไวน์กุหลาบ (Rose`)

โรงบ่มไวน์เล็ก ๆ ที่กระจายอยู่หลาย ๆ แห่งในเมืองชเปียซสามารถแวะเข้าไปชมและชิมไวน์ได้ รวมทั้งมีไวน์จำหน่ายให้ท่านเลือกซื้อกลับบ้าน หรือจะนำกลับไปจิบแกล้มฟองดู (Fondue) อาหารสวิส ที่นิยมดื่มไวน์ขาวควบคู่ไปด้วย ส่วนไวน์แดงก็อาจจะนำไปรับประทานแกล้มชีสหลากหลายชนิดที่ขึ้นชื่อของที่นี่ อาทิ ชีสแอลป์ (Alpkäse),  ชีสเอมเมนทาล (Emmental), ชีสกรูเยร์ (Gruye`re),  ชีสอัพเพนเซลเลอร์ (Appenzeller) ฯลฯ

ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้นมีแหล่งปลูกองุ่นและผลิตไวน์อยู่หลายแห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ แหล่งปลูกองุ่น และผลิตไวน์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในแถบวัลลิส (Wallis), วัดท์แลนด์ (Waadtland), เจนีวา (Genf), เทสสิน (Tessin) แต่ไวน์ส่วนใหญ่จะผลิตและจำหน่ายภายในประเทศเท่านั้น มีไวน์สวิสเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ที่ส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ

ชเปียสเป็นเพียงพื้นที่เล็ก ๆ ที่ปลูกองุ่นและผลิตไวน์ เมื่อเทียบกับส่วนอื่น ๆ ที่ผลิตไวน์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไวน์จากชเปียสนั้นถือว่าราคาค่อนข้างสูง หากเทียบราคากับไวน์ที่นำเข้ามาจากต่างแดน แต่การได้มาเที่ยวประเทศที่สวยงาม ได้จิบไวน์ท้องถิ่นที่หายาก อาจจะช่วยเพิ่มความทรงจำแบบพิเศษ ๆ ให้กับการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ของท่าน