Tag Archives: กลิ่นและรสชาติของไวน์

คออ่อนต้องหัดจิบ 4 เทคนิคดื่มไวน์แบบเข้าใจง่ายเพื่อให้เข้าถึงรสชาติสุดละมุน

ไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบรั่นดีและเบียร์ การดื่มไวน์นั้นไม่ได้เน้นหนักไปที่การปาร์ตี้สังสรรค์ แต่การดื่มไวน์อย่างแท้จริงนั้นเน้นไปถึงเรื่องของรสสัมผัสละมุนลิ้นและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของไวน์ ซึ่งไวน์แต่ละชนิดกับปีที่ผลิตไวน์นั้นมีผลต่อรสชาติและกลิ่นของไวน์ ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้ไวน์แต่ละขวด มีกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกัน ใครที่คออ่อนดื่มแอลกอฮอล์แบบจัดหนักไม่ได้ น่าจะลองหันมาดื่มไวน์กันดูบ้าง เรามีวิธีการดื่มไวน์แบบมืออาชีพให้คุณเข้าถึงรสชาติละมุนอย่างแท้จริงของไวน์มาบอกกัน

1. See

ง่ายและตรงตัวที่สุด ก่อนจะเริ่มดื่มไวน์ ต้องเริ่มจากการดูให้ชัด เมื่อคุณรินไวน์ใส่แก้วไว้แล้ว อย่าเพิ่งรีบดื่มนะ เพราะไม่ใช่น้ำ ให้คุณหยิบแก้วไวน์ที่มีไวน์อยู่นั้นขึ้นมา (เวลาหยิบให้หยิบส่วนก้านแก้ว) ค่อย ๆ ใช้สายตาพิจารณาสีของไวน์ในแก้ว ซึ่งไวน์แต่ละชนิดจะมีสีที่แตกต่างกัน ถ้าเป็นไวน์ขาว สีที่ออกมาจะมีทั้งสีเหลือง สีส้ม  สีทองหรือออกสีอำพัน หากเป็นไวน์แดง สีที่ออกมาจะออกมาแดง ๆ หรือสีเลือดหมู สิ่งที่คุณต้องดูและพิจารณาก็คือ สีและความขุ่นข้นและความใสของไวน์ สีที่เข้มและมีความข้นบ่งบอกว่าเนื้อสัมผัสของรสชาติจะเข้มและหนักสักหน่อย หากสีเข้มแต่ไม่ข้น แบบนี้ตัวบอดี้จะมาเต็มแต่รสชาติจะเบา ๆ ส่วนถ้าสีอ่อนและค่อนข้างใส รสสัมผัสก็จะออกไปโทน Light เบา ๆ ละมุนลิ้นไปอีกแบบ ส่วนที่ไม่ใสมากนักและความข้นก็ไม่ชัดเจนแบบนี้จะเป็น Medium รสสัมผัสจะกลาง ๆ

2. Swirl

เทคนิคต่อมาของการดื่มไวน์ก็คือ การแกว่ง หลังจากหยิบแก้วขึ้นมาพิจารณาสีและความข้นของไวน์แล้ว ต่อมาก็ต้องแกว่งเบา ๆ เพื่อให้ไวน์หมุนไปรอบ ๆ แก้ว การแกว่งนี้จะช่วยทำให้ไวน์ค่อย ๆ คายกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ในตัวออกมา นอกจากนั้นยังจะบ่งบอกถึงรสชาติเบื้องต้นได้ด้วย ซึ่งให้สังเกตจากน้ำไวน์ที่ไหลลงไปตามขอบแก้ว ซึ่งจะมี 2 แบบคือไหลลื่นเหมือนน้ำเปล่าไม่มีการทิ้งร่องรอยบนแก้ว กับ ไหลแบบมีความหนืดค่อย ๆ ไหลกลับลงแก้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยบ่งบอกปริมาณน้ำตาลและความหวานของไวน์ได้เลยระดับหนึ่ง การแกว่งไวน์ไปรอบ ๆ แก้วนั้นจริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่สนุกและท้าทายคล้าย ๆ กับการเล่นพนันคาสิโนและได้ลุ้นเหมือนพนันกีฬาไปกับเว็บยอดฮิตอย่าง VWIN เลยทีเดียว เพราะบางทีก็ไม่รู้ว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นคนที่ดื่มไวน์มานานแกว่งเพียงนิดเดียวก็จะรู้ได้ถึงรสสัมผัสทันที แต่คนที่เพิ่งหัดดื่มแกว่งแล้วจะคาดเดารสไว้ในใจแต่บางทีพอดื่มจริงอาจจะรู้สึกว่ารสชาติและกลิ่นแปลกไปจากที่คิดไว้เยอะมาก

3. Sniff

อย่าลืมที่จะดมกลิ่นไวน์ด้วย การดมนั้นเราจะดมจากแก้วไวน์ เพราะแก้วแบบนี้ออกแบบมาให้ส่งกลิ่นไวน์ได้ชัดเจน หากได้กลิ่นตั้งแต่การยกดมแบบห่าง ๆ บ่งบอกว่าไวน์นั้นน่าจะมีรสชาติเข้มข้น หากไวน์แก้วไหนต้องยกดมใกล้ ๆ ถึงจะได้กลิ่นจาง ๆ ก็มักจะบ่งบอกว่าไวน์แก้วนั้นความเข้มข้นไม่สูงรสจะเบา ๆ

4. Sip

ขั้นตอนสุดท้ายก็ลิ้มรสโดยการจิบ เราจะจิบ ๆ เพื่อรับรสไวน์เท่านั้น ให้พอรู้รสสัมผัสในตอนแรกว่าความหวานนั้นเป็นอย่างไร หวานน้อย หวานกลาง หรือหวานมาก แล้วมีความฝาดข้างในเป็นแบบไหน ไวน์ที่ดีนั้นทั้งกลิ่น และรสสัมผัสอันละมุนจะยังคงอบอวลอยู่ในปากค้างอยู่ในจมูกด้านในประมาณ 3-5 วินาทีแม้จะกลืนไปแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนคุณภาพและเกรดของไวน์ได้เลยนั่นเอง

นี่คือ 4 เทคนิคการดื่มไวน์แบบมืออาชีพแบบเข้าใจง่าย ใครที่ยังไม่เคยดื่มไวน์ หรือดื่มไวน์ไม่เป็นน่าจะลองนำไปใช้กันดูแล้วคุณจะรู้ว่าการดื่มไวน์มันช่างน่าสนใจกว่าการดื่มบรั่นดีหลายเท่าทีเดียว

ถังไม้หมักไวน์ ศิลปะในโรงบ่มไวน์

                คนทั่วไปมักจะคิดว่าไวน์ดี ๆ นั้นต้องผ่านการหมักในถังไม้หมักไวน์ก่อนการบรรจุลงขวด แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ถังหมักไวน์ไม้ไม่ได้มีความจำเป็นสำหรับไวน์ขาว ที่นิยมดื่มแบบไวน์อายุน้อย หรือไวน์สด ในโรงบ่มไวน์ของไวน์ชนิดนี้ ไม่มีถังไม้สำหรับหมักไวน์ แต่แทนที่ด้วยถังสแตนเลส เพราะไวน์ประเภทนี้ไม่ต้องการให้มีอากาศเข้าไปเจือปนในขั้นตอนการหมักไวน์ ถังสแตนเลสจะสามารถรักษารสชาติความสดไว้ได้ดีกว่าถังไม้
 

ถังไม้หมักไวน์

ถังหมักไวน์ไม้ถือเป็นเอกลักษณ์ในการผลิตไวน์ ยามได้ไปเยือนโรงบ่มไวน์แล้วเห็นถังไม้วางซ้อนเรียงกัน ดูขลังประหนึ่งอยู่ในห้องแห่งความลับ ยิ่งถ้าได้ชิมไวน์สด ๆ จากถังด้วยแล้ว จะรู้สึกเหมือนได้จิบน้ำอมฤตที่มีใครสักคนเสกเอาไว้ ถังไม้หมักไวน์มีหลายขนาด มีตั้งแต่จุได้ 1,000 ไปจนถึง 5,000 ลิตรเลยทีเดียว ถังไม้เก่าที่ใช้หมักไวน์ ตัวเนื้อไม้จะเปรียบเสมือนผิวหนังที่อากาศสามารถผ่านเข้าไปได้ เมื่อไวน์เข้าไปในเนื้อไม้ แต่ไม้ไม่ได้ทิ้งรสชาติของไม้ไว้ในไวน์ จึงเรียกกันว่า “ถังไม้หายใจเอาไวน์เข้าไป” 

                ในไวน์บางประเภทต้องการกลิ่นอโรมาและรสชาติของไม้เพื่อไปเพิ่มความพิเศษให้กับไวน์ ก็จะหมักไวน์ในถังไม้โอ๊กเล็ก ๆ ความจุไม่เกิน 225 ลิตรที่เรียกว่าบารีก (Barriques) ในขั้นตอนการทำถังไม้โอ๊กเพื่อหมักไวน์นั้น จะมีการเผาไม้ด้านในถังเพื่อให้มีกลิ่นอโรมาของไม้ออกมา ไม้ยิ่งสดกลิ่นจะยิ่งเข้มข้น ส่วนใหญ่จะนำถังไม้ที่ทำเสร็จแล้วไปแช่ไวน์ก่อนนำมาหมักไวน์เพื่อไม่ให้กลิ่นของไม้นั้นเข้มข้นเกินไป

ไวน์ในถังไม้ กลิ่นและรสชาติจากถังไม้

ถังไม้โอ๊กหมักไวน์หากผลิตจากช่างทำถังไม้ดี ๆ จะมีราคาสูงลิ่วและมีอายุใช้งานสั้นไม่สมกับราคา โดยส่วนใหญ่จึงมักจะใช้หมักเฉพาะไวน์คุณภาพดี ๆ หรือไวน์แดงราคาแพง ๆ ซึ่งผู้ผลิตจะให้คำมั่นสัญญาถึงกลิ่นและรสชาติอันเข้มข้นที่ต่างจากไวน์ทั่วไป ไวน์ขาวบางชนิดก็จะได้รับการหมักในถังไม้เช่นกัน ไวน์ขาวที่มีกลิ่นอโรมาของวานิลลานิด ๆ นั้นจะถือว่าเป็นไวน์ที่ดีและได้รับความนิยม

เรื่องของถังไม้โอ๊กยังมีความแตกต่างในเรื่องของกลิ่นและรสชาติ รวมถึงการจัดเก็บไม้และแหล่งที่มาของไม้ อาทิ ไม้โอ๊กจากฝรั่งเศสและอเมริกา จะให้กลิ่นและรสชาติของไม้ในไวน์แตกต่างกันไปตามระยะเวลาของการหมักไวน์ ดังนั้นการเลือกไม้โอ๊กมาทำถังไวน์จึงแทบจะไม่แตกต่างจากการเลือกไวน์ เพราะต้องคำนึงถึงพื้นที่ปลูกไม้ และดินที่ใช้ในการปลูกไม้ด้วย อาจจะพบไวน์ราคาถูกที่มีกลิ่นและรสชาติที่ใกล้เคียงกับไวน์ราคาแพงที่หมักในถังไม้โอ๊ก ในกรณีนี้ผู้ผลิตอาจจะใส่กลิ่นจากเปลือกไม้และรสชาติของไม้โอ๊กไปในขั้นตอนการผลิต ในจังหวะและเวลาที่เหมาะสมจนได้กลิ่นและรสชาติแบบเดียวกัน อีกแบบหนึ่งที่จะทำให้ได้ไวน์ที่กลิ่นและรสชาติแบบไวน์ที่หมักในถังไม้โอ๊ก คือการเอาแผ่นไม้ไปรมควันให้กลิ่นอโรมาของไม้ออกมา และนำแผ่นไม้นั้นใส่ไปในขั้นตอนการหมักไวน์ ซึ่งทำให้ได้ไวน์คล้ายกันแต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า

เราจะเห็นได้ว่าศิลปะในการหมักไวน์นั้นมีหลายแบบ หลายขั้นตอน การจะได้ไวน์ดี ๆ สักขวดวิธีการอาจยุ่งยาก ผู้ผลิตจึงจำหน่ายในราคาแสนแพง แต่เมื่อใดที่พบไวน์รสชาติดีใกล้เคียงกับไวน์ดี ๆ แต่ราคาถูกก็จะทำให้เราทราบถึงที่มาที่ไป จะเลือกดื่มอย่างไหนก็แล้วแต่งบประมาณในกระเป๋าของท่าน