Nebbiolo องุ่นไวน์แดง แห่งบาโลโรและบาร์เรสโก ภูเขาแดนเหนือของอิตาลี

ภูมิภาคทางตอนเหนือของอิตาลีที่เรียกว่า Piedmont คือแหล่งกำเนิดขององุ่นไวน์แดงที่มีชื่อสายพันธ์ว่า “แนบบิโอโล” (Nebbiolo) เป็นองุ่นที่สามารถต้านทานต่อการเน่าและโรคราน้ำค้างได้อย่างดี ในส่วนของอาณาจักรที่มีชื่อเสียงสำหรับไวน์บาโรโลและบาร์บาเรสโก ซึ่งเป็นแหล่งที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลได้จากการจำหน่ายไวน์ที่มีมูลค่าหลายร้อยดอลลาร์ต่อหนึ่งขวด

องุ่นเนบบิโอโล ได้ทำให้เกิดความหลากหลายในยุคของ “ไวน์โลกใหม่” และในปัจจุบันมีการปลูกที่อยู่นอกจากบาโรโลและบาร์บาเรสโกแล้ว ก็ยังมีโรงบ่มไวน์เพียงไม่กี่แห่งในสหรัฐอเมริกา, แม็กซิโก, ชิลี, อาร์เจนตินา, บราซิล, อุรุกกวัย, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์อีกด้วย

ความหายากที่กลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดของ Nebbiolo

เพราะว่าไวน์เนบบิโอโล นั้นสามารถผลิตได้ในไม่กี่หมู่บ้านในภูมิภาค Piedmont ของอิตาลี ซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คือ บาโรโล (Barolo) และ บาร์เรสโก (Barbaresco) และเนบบิโอโลเป็นองุ่นเพียงองุ่นเดียวที่ใช้ในการทำไวน์ระดับไฮเอนด์ มีความโดดเด่นด้วยแทนนินเข้มข้น มีความเป็นกรดสูงและกลิ่นที่ชัดเจนคล้าย “ทาร์และดอกกุหลาบ” สิ่งนี้ทำให้ไวน์เนบบิโอโล ขึ้นแท่นเป็นไวน์ชั้นยอดที่สำหรับการเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษและเหมาะสมที่จะถูกถนอมไว้ในขวดไวน์ระดับโลก

ในช่วงเวลาหนึ่งเนบบิโอโลมีแนวโน้มเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ นั่นก็คือ ไวน์เนบบิโอโลส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีอ่อนจากที่เคยเข้ม, เปลี่ยนจากสีม่วงทับทิมไปเป็นสีส้มอิฐสดใส

รสชาติของไวน์ Nebbiolo

การได้ชิมไวน์เนบบิโอโล อาจเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ เพราะกลิ่นของดอกไม้และผลไม้สีแดงอ่อนทำให้กลิ่นของไวน์ละมุนกว่าที่คุณคิดอยู่มาก เมื่อได้ลองจิบไวน์เนบบิโอโล คุณก็จะได้สัมผัสถึงแทนนินเป็นอันดับแรก ที่ส่งความฝาดไปสู่ต่อมรับรสตั้งแต่โคนลิ้นจนย้อนกลับมาที่ริมฝีปากของคุณ แต่รสชาติของผลไม้ อย่างเชอร์รี่และราสเบอร์รี่ของไวน์ ผสมกับกลิ่นของดอกกุหลาบเจือโป๊ยกั๊กจะเข้ามาช่วยให้เกิดความรู้สึกตื่นตัวและสดชื่นอยู่เสมอ

สำหรับในช่วงเวลาที่อุณหภูมิต่ำลงของปี ไวน์เนบบิโอโลจะมีรสชาติของบิตและแครนเบอร์รี่รสเปรี้ยว, ผลกุหลาบป่าและแร่ดินสีแดงอีกด้วย

อาหารที่เหมาะกับ Nebbiolo

ด้วยกลิ่นที่ละเอียดอ่อนของเนบบิโอโล แต่ยังคงมีปริมาณของแทนนินอยู่ด้วย คุณจึงควรมองหาอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณไขมันมากกว่าส่วนของเนื้อ เพราะไขมันจะช่วยดูดซับความฝาดของแทนนินได้อย่างพอดี และความเป็นกรดของไวน์ ก็ทำให้มีการจับคู่กับอาหารที่มีกรดสูงด้วยความเค็ม อย่างเช่น น้ำสลัดที่ที่เพิ่มไขมันหรือน้ำมันมะกอกเพื่อให้กลมกลืนกับปริมาณแทนนินของไวน์ อาทิ เนื้อแกะย่างสมุนไพร, เป็ดรมควันกับเห็นป่า หรือลิ้นจี่ ผักโขมสดกับเห็ดทรัฟเฟิลสีขาว

ไวน์ขาวชั้นยอดสัญชาติอิตาเลียนที่สามารถทำให้โลกของคุณเปลี่ยนภายในพริบตา

ทั่วมุมโลกมีไวน์ขาวอยู่มากมายหลากหลายชนิด ที่สามารถเป็นเครื่องดื่มดับกระหายให้กับคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่นิยมชมชอบบรรยากาศการดื่มด่ำอาหารมื้อโปรดไปพร้อมกับการจิบไวน์รสเลิศ ดังนั้นในบทความนี้จะแนะนำไวน์ขาวจากอิตาลี ชั้นยอดที่คัดสรรมาให้คุณได้พิจารณา รับรองว่าต้องเป็นไวน์ระดับดีเยี่ยมที่ควรค่าแก่การลิ้มลอง

6 ไวน์ขาวอิตาเลียน จากองุ่นพันธุ์พื้นเมืองสู่ไวน์ระดับไฮเอนด์

   ประเทศอิตาลีมีองุ่นพันธุ์พื้นเมืองเกิดขึ้นมากมาย จึงทำให้มีไวน์เกิดขึ้นมากตามไปด้วย และอิตาลีก็มีการพัฒนาไวน์ที่โดดเด่นกว่าแหล่งผลิตอื่น ๆ บนโลก สำหรับ 6 ไวน์ขาวจากอิตาลีที่จะแนะนำ มีดังต่อไปนี้

  1. Fruliano (ฟรูเลียโน) มีหลายคนเชื่อว่าองุ่นพันธุ์ฟรูเลียโน มีถิ่นกำเนิดอยู่ใน Friuli แต่มีผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาด้านพันธุ์องุ่นและความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในเขต Gironde ของฝรั่งเศส สำหรับรสและกลิ่นของฟรูเลียโนนั้น สิ่งแรกที่นักชิมจะสัมผัสได้นั่นก็คือ “กลิ่น” เป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของคุณได้เป็นอย่างดี ด้วยความอ่อนละมุนของดอกมะลิ, นาร์ซิสซัส, มะเดื่อแห้ง, ผิวส้มและแอปเปิลเขียว แอบซ่อนไว้ด้วยกลิ่นของธรรมชาติอย่างก้อนหินและเกลือทะเล ไวน์ฟรูเลียโนจะเข้ากันดีกับ Prosciutto San Danielle, ปลาคอตหรือปลาฮาลิบัตย่าง
  2. Soave (โซอาเว่) เป็นไวน์รสหวาน มีการบันทึกไว้ว่าไวน์โซอาเว่ได้สูญหายไปพร้อมกับการล่มสลายของจักรรรดิโรมัน จนได้มีการค้นพบอีกครั้งในอีก 1500 ปีต่อมา ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นไวน์ขาวอิตาเลียนที่น่าพิสมัยมากชนิดหนึ่ง หากเปรียบสุภาพบุรุษกับไวน์โซอาเว่แล้วนั้น คงจะนิยามได้ถึงความมีเสน่ห์ มั่นใจ และสง่างาม ที่แฝงด้วยความอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตนในแบบที่ผู้ชายพึงมี หากได้ลิ้มลองคู่กับเนื้อลูกวัวย่างรสชาติจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี
  3.  Timorasso (ทิโมรัสโซ) ไวน์องุ่นขาวของอิตาเลียน เกิดจากองุ่นที่ปลูกในแถบภูมิภาค Piedmont ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี มันถูกใช้เพื่อทำไวน์อะโรมาติกที่มีคุณภาพสูง กลิ่นของไวน์ทิโมรัสโซจะให้ความรู้สึกถึงกลิ่นของแอปเปิ้ล, น้ำผึ้งอะคาเซีย, แร่ธาตุ, สมุนไรพแห้งและเลม่อนแช่อิ่ม การได้ลิ้มรสไวน์ทิโมรัสโซกับเนื้อลูกวัวผัดกับเห็ดป่า หรือราวีโอลี่ไก่ฟ้าย่าง อาจจะทำให้คุณลืมไม่ลงเลยทีเดียว
  4. Verdicchio (เวอดิคคิโอ) องุ่นสีเขียวที่ถูกนำมาผลิตเป็นไวน์ในชื่อเดียวกัน กลิ่นและรสชาติของไวน์เวอดิคคิโอจะมีกลิ่นของมะนาว, กีวี่, หญ้าสด, มะละกอดิบและผักชี ในปัจจุบันจะสามารถพบไวน์เวอดิคคิโอในหลายระดับราคาตามคุณภาพของรสชาติ เหมาะกับการดื่มคู่กับอาหารโซนเอเชียที่มีรสชาติเผ็ดร้อน และของทอดทุกชนิด
  5. Greco di Tufo (เกรโก ดิ ทูโฟ) เป็นไวน์อิตาเลียนที่ถูกเรียกว่าไวน์ “สไตล์กรีก” เพราะเนื่องจากมีรสหวานนำ กลิ่นที่อยู่ในตัวไวน์คือ ไวท์ บอสซัม, แอปริคอตแห้งและกลิ่นหอมของดินเผา จะให้รสฝาดตอนจิบแรก หลังจากนั้นจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นของทาร์ตแอปเปิลเขียวบนครีมตลบอบอวลอยู่ในปาก หากได้กินคู่กับ Mozzarella di bufala กับมะเขือเทศ หรือปลาย่างมะนาวและน้ำมันมะกอก รสชาติจะเข้ากันได้ดี
  6. Etna Bianco (แอทน่า เบียนโก) ไวน์ที่ผลิตจากองุ่นพันธุ์พื้นเมืองของอิตาลี กลิ่นและรสชาติมีความซับซ้อนหลากหลาย การได้ดื่มไวน์ชนิดนี้กับทูน่า คาร์ปาซิโอ, ไก่ย่างสมุนไพร จะทำให้คุณค้นพบมื้ออาหารที่ตราตรึงใจไม่น้อย

ไวน์ขาวทั้ง 6 แบบที่ได้แนะนำไปนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของไวน์อิตาเลียนที่คุณสามารถลิ้มลองรสชาติกันได้ ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการดื่มไวน์ คุณก็ไม่ควรพลาดไวน์ที่ได้แนะนำไว้ ใครจะรู้ว่า…คุณอาจจะลืมไวน์แดงแก้วโปรดของคุณไปเลยก็เป็นได้

Mercouri Estate แหล่งผลิตไวน์ชั้นยอด ที่แอบซ่อนอยู่ในประเทศกรีซ

Mercouri Estate ตั้งอยู่ใน Western Peloponnese บนที่ราบสูงของคาบสมุทร Ichthis ใกล้ ๆ หมู่บ้าน Korakochori ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทซกรีซ นับจากโอลิมเปียโบราณ ผืนดินแห่งนี้มีประวัติยาวนานกว่า 150 ปี ว่าเป็นอาณาบริเวณที่ใช้ผลิตไวน์, น้ำมันมะกอกและในสมัยก่อนนั้น องุ่นโครินเธียน (หรือลูกเกด) ที่ใช้ผลิตไวน์ เป็นของตระกูล Mercouri ที่มีต้นตระกูลอยู่ใน Peloponnese และทั่วทุกทวีป

การก่อตั้งผืนดินให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ใช้ผลิตไวน์ชั้นยอดของตระกูล Mercouri เริ่มขึ้นในปี 1864 โดย Theodoros Mercouri นับแต่ก่อนตั้งนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้เขาก็เริ่มปลูกองุ่นสายพันธุ์ Refosco ซึ่งเป็นองุ่นสายพันธุ์ทางเหนือของอิตาลี ต่อมา Theodorus ได้ใช้พื้นที่กว่า 40 เอเคอร์ที่เขามีทำการปลูกองุ่นหลากหลายสายพันธุ์อีกด้วย

การเติบโตจากไร่องุ่น สู่อุตสาหกรรมการผลิตไวน์ด้วยองุ่นชั้นดี

ตระกูล Mercouri ได้ทำให้ไร่กลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมเพื่อใช้ผลิตไวน์ นับตั้งแต่ที่เริ่มผลิตไวน์จากองุ่นสายพันธุ์ Refosco ได้กลายเป็นที่รู้จักในท้องถิ่น ในปี 1930 Leonidas Mercouri ได้พัฒนาโรงงานผลิตไวน์ที่ทันสมัย ซึ่งมีห้องใต้ดินที่เก็บไวน์ได้ประมาณ 300 ตัน ใช้งานได้จนถึงปี 1960

เมื่อดำเนินงานมาถึงช่วงปี 1985 ในยุคของตระกูล Mercouri รุ่นที่ 3 และ รุ่นที่ 4 ได้เริ่มมีการวางแผนการผลิตที่เป็นระบบมากขึ้น เพื่อทำให้การผลิตไวน์ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น คนรุ่นใหม่ได้เริ่มขยายพื้นที่การผลิตไวน์ นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นมาใช้ จนทำให้ Mercouri Estate กลายเป็นที่รู้จักในเรื่องการผลิตไวน์ชั้นยอดในปัจจุบัน

ไวน์คุณภาพสูงและไร่องุ่นที่ได้รับการรับรองระดับสากล

Mercouri Estate ได้ปลูกองุ่นสายพันธุ์ชั้นยอดและผลิตไวน์คุณภาพสูง จนเป็นที่รับรู้และได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล อย่าง Best Farming Practices อีกด้วย ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวช่วยให้ Mercouri Estate เติบโตจนถึงปัจจุบันนั้น ก็คือ องุ่นที่ใช้ผลิตไวน์มากกว่า 15 สายพันธุ์ จากแหล่งกำเนิดทั้งกรีซ, ฝรั่งเศสและอิตาลี ตัวอย่างเช่น

  • สายพันธุ์Refosco องุ่นที่เกิดจากการผสมระหว่างองุ่นพันธุ์พื้นเมืองสองสายพันธุ์ อย่าง Refosco Mercouri ที่ปลูกไว้ตั้งแต่ปี 1870 และ Refosco dal Penducolo Rosso องุ่นที่มีต้นกำเนิดจากอิตาลี หรือในฝรั่งเศสจะเรียกว่า Mondeuse Noir
  • สายพันธุ์ Mavrodaphne, Agiorgitiko และ Avgoustiatis องุ่นที่มีความสำคัญของกรีก
  • สายพันธุ์ Syrah, Mourvedre และ Grenache rouge เป็นองุ่นแดงพันธุ์พื้นเมืองของฝรั่งเศสและอิตาลี
  • สายพันธุ์ Negroamaro เป็นองุ่นที่มีต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ
  • สายพันธุ์ Assyrtiko และ Robola คือองุ่นหวานสายพันธุ์สีขาวที่สำคัญของกรีซ
  • สายพันธุ์ Viognier องุ่นสีขาวจากฝรั่งเศส
  • สายพันธุ์ Ribolla Gialla ของอิตาลี ที่มีต้นกำเนิดมาจากกรีกโบราณ

สำหรับไวน์ที่ทำให้ Mercouri Estate เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ก็คือ Domaine Mercouri ที่ถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของ Mercouri Estate เลยก็ว่าได้ ลักษณะที่โดดเด่นนอกจากสีแดงที่มองเห็นด้วยตาแล้ว กลิ่นที่ได้ยังหอมละมุน จะสัมผัสความอบอวลของผลไม้สีแดง ความนุ่มนวลของช็อคโกแลตและกาแฟ กลมกล่อมไปพร้อมกับวานิลาและอบเชย บ่มด้วยถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสว่า 10-12 เดือน และพักอยู่ในขวดอีก 6 เดือน ซึ่งแต่ละปีจะมีการผลิตเพียง 40,000 ขวดเท่านั้น

การสร้างพื้นที่อุตสาหกรรมจากครอบครัว จนเติบโตกลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมไวน์ที่สำคัญของตระกูล Mercouri ทำให้นักชิมไวต่างได้ลิ้มลองรสชาติของไวน์ชั้นเลิศอีกหลากหลาย ถ้าหากคุณคือคนที่ได้สัมผัสไวน์จาก Mercouri Estate คุณอาจจะลิ้มรสชาติของไวน์ชั้นดีจากแหล่งกำเนิดที่แอบซ่อนอยู่ในประเทศกรีซก็เป็นได้

Malagousia หัวใจหลักของไวน์ขาวที่เกือบสูญพันธุ์

“มาลากูเซีย” (Malagousia) เป็นองุ่นขาวสายพันธุ์กรีกที่ใช้ผลิตไวน์ขาว ที่ถูกเรียกขานว่าเป็น “หัวใจหลักของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาสมัยใหม่แห่งการผลิตไวน์ในกรีซ” เนื่องจากเพิ่งมีการพบเห็นการใช้มาลากูเซีย เพียงในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ผลิตไวน์ในกรีซได้ค้นพบความสามารถในการผลิตไวน์มาลากูเซียของพวกเขาอีกครั้ง เพราะในปี 1970 มาลากูเซียเป็นองุ่นพันธุ์สีขาวที่มีคนรู้จักน้อยมาก จนหลาย ๆ คน คิดว่าองุ่นพันธุ์นี้ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ยังมีการวิจัยโดยอาจารย์มหาวิทยาลัย ร่วมมือกับผู้ผลิตองุ่นชั้นแนวหน้า ทำให้มาลากูเซียกลายเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ว่าเป็นองุ่นชั้นนำระดับโลก เมื่อนำไปผลิตเป็นไวน์ขาว หรือ White Wine ก็มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ที่ตราตรึงใจ

กลิ่นอายและรสสัมผัสจากดินแดน AetoliaAcarnania

เมื่อมาลากูเซียได้กลายมาเป็นไวน์ จะมีลักษณะสีเขียวมะนาวที่ซีดและใส แต่กลิ่นของไวน์นั้นจะโดดเด่นเข้มข้นจนจมูกสามารถรับรู้กลิ่นอายของมาลากูเซียได้ตั้งแต่เปิดขวด กลิ่นที่คุณได้สัมผัสในโสตประสาทนั้น เริ่มจากกลิ่นของลูกพีช, พริกหยวกสีเขียว, ใบโหระพา รวมถึงกลิ่นของดอกไม้นานาพันธุ์ที่แขวนไว้บนเพดาน แต่ยังให้กลิ่นสดชื่นอยู่เสมอ พร้อมแอลกอฮอล์ในระดับปานกลาง ความหวานของไวน์มาลากูเซียนั้นเกิดจากองุ่นที่ถูกเก็บเกี่ยวในช่วงปลาย เนื่องจากตัวของผลองุ่นจะมีความแน่นและมีกลิ่นหอมมากขึ้น และเป็นเรื่องแปลกที่มาลากูเซียใช้เวลา 4 ปีก็สามารถให้รสชาติที่หอมหวานได้แล้ว ในขณะที่ไวน์หวานชนิดอื่น ๆ ต้องใช้เวลาสี่ถึงเจ็ดปีถึงจะได้รสชาติที่ถูกใจนักชิม

มาลากูเซียเป็นองุ่นที่เชื่อว่ามีต้นกำเนิดมาจากทางตะวันตกของกรีซตอนกลาง (Aetolia-Acarnania) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับการผลิตไวน์หวาน การปลูกพืชสมัยใหม่ในปัจจุบัน มีผู้คนหันมาปลูกมาลากูเซียในพื้นที่กันเป็นส่วนใหญ่ของกรีซ

Malagousia จับคู่กับอาหาร ช่วยเพิ่มรสชาติให้มื้ออาหารน่าประทับใจไม่รู้ลืม

มาลากูเซีย เป็นไวน์ขาวที่มีรสชาติติดหวานตรงปลายลิ้นเมื่อคุณได้ลองจิบ ก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือในขณะเล่นเกมกับ Fun88 ก็จะทำให้อาหารในมื้อนั้นมีรสชาติที่ประทับใจคุณอย่างแน่นอน สำหรับอาหารที่เหมาะกับการกินร่วมกับมาลากูเซียนั้น มีหลายชนิด อย่างเช่น อาหารประเภทซีฟู้ด, สลักผักหลายหลายชนิด, พาสต้า, อาหารที่มีรสจัด, ชีส รวมไปถึงไวน์ก่อนอาหารด้วย

Malagousia เป็นไวน์ วาไรตี้ ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างกว้างขวางทั่วโลก เป็นตัวอย่างไวน์ขาวชั้นยอด ที่มีกลิ่นหอมอัดแน่นไปด้วยความมีชีวิตชีวาและความซับซ้อนไปด้วยกัน หากคุณดื่มมาลากูเซียควบคู่ไปกับสลัดผักและอาร์ติโชค ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “นักฆ่าไวน์” คุณจะค้นพบความมหัศจรรย์ว่านักฆ่าไวน์ไม่สามารถดับรสความกลมกล่อมของมาลากูเซียได้เลย นอกจากนี้มาลากูเซียยังมักถูกจับคู่อย่างพิถีพิถันให้เข้ากับรสชาติของผลไม้ในมื้อของหวานอีกด้วย

Sparkling Wines เครื่องดื่มที่สร้างสีสันในวันเฉลิมฉลองของคนทั่วโลก

หากคุณเคยมีประสบการณ์การเข้าร่วมเฉลิมฉลองในงานสำคัญหรือเทศกาลใดเทศกาลหนึ่ง อย่างเช่นการขึ้นรับถ้วยรางวัลของนักกีฬาในรายการใหญ่ ๆ คุณคงจะเคยเห็นคนเหล่านั้น เปิดขวดเครื่องดื่มเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงการฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ซึ่งสิ่งที่เราจะพูดถึงในบทความนี้ นั้นก็คือสิ่งที่พวกเขายกขวดมันขึ้นเขย่าก่อนเปิดให้มันพุ่งออกมาในอากาศ แล้วกระดกขวดมันดื่มอย่างชื่นมื่น แน่นอนว่าเจ้าสิ่งนั้นก็คือ “Sparkling Wines”

Sparkling Wines หรือเรียกให้คุ้นหูว่า “แชมเปญ” เป็นไวน์ที่มีรสชาติอร่อยและเรียกชีวิตชีวาให้กับผู้ดื่มได้เป็นอย่างดี Sparkling Wines จะมีฟองและประกายที่เกิดจากคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก ซึ่งเครื่องดื่มชนิดนี้ได้รับความนิยมอยู่ในทุกส่วนของโลก จากรสชาติและความตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงเปิดขวด

ต้นกำเนิด Sparkling Wines เกิดจากองุ่นสายพันธุ์ชั้นเยี่ยม

วัตถุดิบสำคัญที่นำมาใช้ผลิต Sparkling Wines นั่นก็คือผลองุ่นแดง ซึ่งจะต้องเข้าสู่กระบวนการผลิตทันทีหลังจากเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้น้ำองุ่นสีขาวที่ผู้ผลิตจะเรียกว่า “สีขาวจากสีดำ” แต่ในขณะเดียวกัน Sparkling Wines บางชนิดก็สามารถผลิตจากองุ่นขาวเพื่อให้ได้ไวน์ที่ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “สีขาวจากสีขาว” ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อตัวขึ้นเป็นฟองในไวน์นั้น เกิดจากการกระบวนการหมักทั้งสิ้น ในการผลิต Sparkling Wines แต่ละครั้งจะมีกระบวนการหมักมากกว่าหนึ่งกระบวนการตามกรรมวิธีของแต่ละผู้ผลิตที่แตกต่างกันไปตามที่พวกเขาต้องการ

สำหรับพันธุ์องุ่นที่ใช้ในการทำ Sparkling Wines ก็คือ ชาร์ดอนเน (Chardonnay), ปิโน นัวร์ (Pinot Noir), ปิโน เมอเนียร์ (Pinot Meunier), เชอนินบลังค์ (Chenin Blanc), มัวแซค บลังค์ (Mauzac Blanc), ซาแรล โล (Xarel lo), แพเรลลาดา (Parellada), แมคคาเบโอ (Maccabeo), รีสลิง (Riesling) และ มัซแคท (Muscat)

ความนิยมของ Sparkling Wines ที่พบอยู่ในทุกมุมโลก จากรสชาติที่สร้างชีวิตชีวา

Sparkling Wines มีรสชาติที่ละเอียดอ่อน ละมุนลิ้น และมักสร้างความสดชื่นมีชีวิตชีวาให้กับผู้ที่ได้ลิ้มลอง ดังนั้นเพื่อให้ได้ลักษณะที่สมบูรณ์ของรสชาติไวน์ที่กลมกล่อม จึงควรแช่เย็นประมาณ 3-4 ชั่วโมง ก่อนการเสิร์ฟอยู่เสมอ และโดยทั่วไปแล้วนั้น Sparkling Wines เหมาะสำหรับบรรยากาศในงานปาร์ตี้และงานเลี้ยง เสิร์ฟเคียงคู่สิ่งต่อไปนี้

  • เนื้อสัตว์ประเภทเนื้อไก่หรือ สเต็กสันในหมูและไก่งวง
  • ผลไม้จำพวกสตรอเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่และแบล็กเบอร์รี่
  • ชีส อย่างเช่น บรี(Brie),โพโวโลน (Provolone), ชีสนมแพะ (Goat cheese) และครีมชีส
  • อาหารทะเล เช่น หอยเชลล์, กุ้ง, ปลาแฮลิบัต

สิ่งที่กล่าวมานี้เป็นอาหารที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับ Sparkling Wines

สุดท้ายนี้ หากจะให้แนะนำ Sparkling Wines ที่ควรค่าแก่การลิ้มลองสักครั้งหนึ่งในชีวิต ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะแนะนำคุณให้รู้จักกับ โพแซ็กโก (Prosecco) ซึ่งเป็นไวน์เลื่องชื่อของอิตาลี และถูกจัดอันดับว่าเป็น “King of Sparkling Wines”

Dessert Wines หมวดหมู่ของไวน์ที่พร้อมเสิร์ฟเคียงคู่ของหวานแสนอร่อย

อาจจะฟังแล้วแปลกไม่น้อยกับหัวข้อไวน์ที่เสิร์ฟพร้อมขนมหวาน แต่ใครจะคาดคิดว่ามีไวน์บางชนิดที่เกิดมาเพื่อสร้างความสุขไปพร้อมกับการรับประทานขนมหวานไปด้วยก็ได้เหมือนกัน

เสิร์ฟไวน์กับขนมหวาน ความละมุนที่ถูกใจคุณผู้หญิง

Dessert Wines หรือ ไวน์ของหวาน โดยส่วนใหญ่จะเป็นไวน์ที่มีรสชาติหวาน มีปริมาณน้ำตาลสูงกว่าไวน์ที่เสิร์ฟบนโต๊ะอาหารปกติ ซึ่งปริมาณน้ำตาลที่คงอยู่จะมีตั้งแต่ 3-28 เปอร์เซ็นต์ Dessert Wines มีความหลากหลายประเภทแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ขององุ่นที่ใช้ในการผลิต ส่วนใหญ่มักจะเป็นองุ่นที่ได้ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เนื่องจากจะได้รักษาปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในผลองุ่นให้คงความหวานในตัวของไวน์ที่มีความเข้มข้นมากกว่าไวน์ทั่วไป เป็นที่ถูกใจสาว ๆ ที่หลงใหลในขนมหวานอย่างแน่นอน

ไวน์ของหวานมีทั้งที่เป็นสีขาวและสีแดง สำหรับไวน์ของหวานสีขาวจะต้องแช่เย็นก่อนเสิร์ฟเสมอ ๆ แต่ในทางกลับกันไวน์ของหวานสีแดงมักเสิร์ฟในอุณหภูมิปกติ รสชาติของ Dessert Wines จะเข้ากันได้ดีกับขนมหวานและผลไม้สด

Dessert Wines ส่วนใหญ่จะมีกลิ่นหอมที่เย้ายวนตามธรรมชาติของผลไม้ อย่างเช่น เปลือกส้ม, มะม่วง, แอปริคอท, มะตูม, มะเดื่อ, ลูกเกด, น้ำผึ้งหรือคาราเมล หากได้ลองลิ้มรส Dessert Wines ควบคู่ไปกับรสชาติของขนมหวาน จะรู้สึกได้ทันทีถึงความลงตัวของ Dessert Wines และกลิ่นเนย ครีมจากขนมหวาน ที่ทำให้คุณได้รสสัมผัสที่นุ่มนวลจนยากที่จะลืม

Dessert Wines แบ่งได้เป็น 5 ประเภท ได้แก่

  1. Sparkling Dessert Wine หรือแชมเปญ ไวน์ที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และความเป็นกรดสูง จึงเกิดเป็นรสหวานที่ตราตรึงใจใครหลาย ๆ คน และความมหัศจรรย์อีกหนึ่งอย่างของแชมเปญก็คือ กลิ่นความหอมหวานขององุ่นที่ลวงหลอกให้คุณคิดไปได้ว่ามันหวานมาก ตัวอย่างเช่น Demi-Sec จากฝรั่งเศส, Amabile จากอิตาลี และ Dulce จากสเปน เป็นต้น
  2. LightlySweet Dessert Wine ไวน์ที่มีรสหวานเล็กน้อย เหมาะสำหรับช่วงบ่ายที่อบอุ่น เช่น Gewürztramine ไวน์ที่ส่งกลิ่นหอมของลิ้นจี่และกลีบกุหลาบ เสิร์ฟพร้อมทาร์ตผลไม้จะได้รสชาติที่เข้ากันดีอย่างยอดเยี่ยม
  3. Richly Sweet Dessert Wine ไวน์ที่ผลิตจากองุ่นคุณภาพสูง ส่วนใหญ่จะมีอายุ 50 ปีขึ้นไป จะมีความหวานและความเป็นกรดที่ยังคงรักษาความสดใหม่เอาไว้ได้ดี อย่าง Tokaji ไวน์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของฮังการี
  4. Sweet Red Wine ในปัจจุบันอาจจะพบไวน์แดงที่มีราคาถูกมากมาย เพราะเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง แต่ไวน์ขนมหวานที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่จะมาจากอิตาลี ซึ่งจะใช้องุ่นสายพันธุ์เฉพาะและไม่อาจเปิดเผยได้
  5. Fortified Wine ไวน์ที่มีการเพิ่มในส่วนของบรั่นดีลงในไวน์ ซึ่งจะมีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่าไวน์ทั่วไป ประมาณ 17-20% ABV สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้นหลังจากเปิดขวด เช่น Ruby & Crusted Port ไวน์ที่มีรสชาติของมิ้นต์และความหวานอ่อน ๆ

โดยส่วนใหญ่แล้ว Dessert Wines ที่มีชื่อเสียงมักจะผลิตจากประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี ทั้งนี้รสชาติจะมีความหลากหลายแตกต่างกันไปตามภูมิภาคที่ใช้ปลูกองุ่น รวมถึงกรรมวิธีการผลิต แต่สิ่งที่คล้ายกันของ Dessert Wines ก็คือจะมีรสหวานที่มากกว่าไวน์ประเภทอื่นจะสามารถรับรู้ได้โดยทันทีเมื่อต่อมรับรู้ในด้านกลิ่นหรือรสของคุณเปิดรับ Dessert Wines เข้าไปในร่างกาย

Fino หนึ่งในเชอร์รี่ไวน์ที่ความสุขให้นักจิบหลงใหล

หากพูดถึงไวน์ที่มีรสชาติไปในทางหวานละมุนลิ้น คงต้องมีคนนึกถึงไวน์ที่เรียกว่า “Fino” กันอย่างแน่นอน ไวน์ที่มีรสหวานละมุนควบคู่กับความดรายที่รับรู้ได้ เมื่อยิ่งเสิร์ฟคู่กับขนมทาร์ตและธัญพืชก็จะช่วยสร้างรสชาติที่ลืมคุณลืมไม่ลง

Fino เป็นเชอร์รี่ไวน์ที่มีความดรายอยู่ในตัว ส่วนใหญ่ทำมาจากองุ่นพาโลมิโน ซึ่งมีการบ่มภายใต้ชั้นยีสต์ ที่ป้องกันการสัมผัสกับอากาศ ส่งผลให้ยีสต์มีความเค็มและมีกลิ่นของสมุนไพรในแถบเมดิเตอร์เรเนียน, แป้งสดและอัลมอนด์ ซึ่งการบ่ม Fino นั้นกฎหมายได้กำหนดไว้ว่าจะต้องบ่มอยู่ในถังไม้อย่างน้อย 2 ปี แต่โดยส่วนใหญ่ Fino ที่ดีนั้นจะมีอายุระหว่าง 4-7 ปี เมื่อกระบวนการหมักไวน์นั้นได้ที่ จะสามารถมองเห็นถึงความใสของชั้นฟลอร์และแร่ธาตุที่สังเกตได้ ในทางกลับกัน Fino ที่ยังมีอายุการบ่มน้อยกว่านั้นจะมีความซับซ้อนของรสชาติที่น้อยกว่า

ไวน์ Fino ที่โด่งดังที่สุดจนนักจิบไวน์ไม่ควรพลาด

ไวน์ Fino ที่มีชื่อเสียงในหมู่ผู้นิยมชมชอบการจิบไวน์คงจะรู้จักกันดี ดังนี้

  • Tio Pepe เป็นหนึ่งใน Fino ที่รู้จักกับดีในรูปแบบของไวน์เชอร์รี่ที่ทำมาจากองุ่นบาโลมิโน แบรนด์ Tio Pepe นี้ เป็นของ González Byass Sherry house ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไวน์รสชาติดีของสเปน
  • La Ina เป็น Fino ชั้นยอดของ Solera เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1919 มีชื่อเสียงตลอดมาในฐานะหนึ่งใน Finos ที่มีกลิ่นหอมและเข้มข้นที่สุดในบรรดา Finos ทั้งหมด มักจะมีอายุอยู่ในถังไม้โอ๊กเฉลี่ย 5 ปี
  • Inocente เป็นไวน์ Fino ระดับเรือธงของ Valdespino ที่ใช้กรรมวิธีดั้งเดิมในการผลิตตั้งแต่ปี 1894

ความสามารถของ Fino ที่ทำให้นักชิมติดใจในรสชาติ

เนื่องด้วยไวน์ Fino มีความสามารถพิเศษในการกระตุ้นต่อมรับรส ด้วยเหตุนี้จึงมักถูกน้ำมาเสิร์ฟเป็นเมนูเปิดการอาหาร เพื่อช่วยเสริมและกระตุ้นให้ผู้ลิ้มลองได้เพลินเพลินกับอาหารมากยิ่งขึ้น ด้วยความเป็นธรรมชาติของเชอร์รี่ไวน์ชนิดนี้จะช่วยเพิ่มรสชาติอาหารในมื้อนั้นให้ประทับใจคุณยิ่งขึ้นถ้าคุณได้ลองจิบ Fino สักหนึ่งแก้ว

การเสิร์ฟ Fino ที่แช่เย็นจะเข้ากันดีกับปลา, อาหารทะเล, แฮม อิเบริโกหรือแซลมอนรมควัน หรืออะไรก็ตามที่มีมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบ เมื่อได้มาลิ้มลองคู่กับ Fino แล้วก็จะทำให้อาหารนั้นกลายเป็นการจับคู่ที่ดี แต่หากต้องการเสิร์ฟเป็นอาหารว่าง เรียกน้ำย่อยให้มื้อเย็น แบบคลาสสิก ก็ไม่ควรพลาดในการเสิร์ฟเคียงคู่กับมะกอก, แองโชวี่, ไข่นกกระทา หรือปาเต หรือแม้กระทั่งการจับคู่ของ Fino กับซาชิมิ ก็เป็นการเพิ่มรสชาติที่ยอดเยี่ยมและทำให้คุณได้ค้นพบถึงความหมายของคำว่าความพึงพอใจในรสชาติอาหารอย่างสมบูรณ์แบบจากเชอร์รี่ไวน์ที่เรียกว่า “Fino”

Chambourcin องุ่นลูกผสม กลิ่นหอมยวนใจแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์

การพัฒนาสายพันธุ์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตไวน์นั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดสายพันธุ์องุ่นที่ต่างก็มีความโดดเด่นและหลากหลายรสชาติเกิดขึ้น ผลที่ตามมาก็คือความรุ่นเรืองของอุตสาหกรรมไวน์ในปัจจุบัน เพราะเมื่อมีองุ่นพันธุ์ดีที่เป็นวัตถุดิบหลักในการใช้ผลิตไวน์แล้ว ก็จะได้น้ำไวน์ที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ซึ่งในบทความนี้อยากกล่าวถึงองุ่นพันธุ์ผสมที่เป็นหนึ่งในองุ่นสายพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนา จนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองจนเป็นที่กล่าวขานในหมู่นักชิมไวน์ต่อ ๆ กันมาตั้งแต่ปี 1970 องุ่นที่กล่าวถึงก็คือ องุ่นสายพันธุ์แชมบัวร์ซิน (Chambourcin) นั่นเอง

แชมบัวร์ซินเป็นองุ่นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างองุ่นพันธุ์ฝรั่งเศส-อเมริกัน ที่นิยมอย่างมากในการนำมาผลิตไวน์ แชมบัวร์ซิน ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความต้านทานโรคเชื้อราเป็นอย่างมาก ซึ่งพัฒนาขึ้นในแถบลุ่มแม่น้ำลัวร์ ของประเทศฝรั่งเศส แชมบัวร์ซินได้ถูกนำมาทำไวน์ครั้งแรกเมื่อปี 1963 โดย Joannes Seyve ผู้ซึ่งเป็นสมาชิกหนึ่งในครอบครัวที่มีชื่อเสียงในด้านการพัฒนาสายพันธุ์องุ่นที่ใช้ผลิตไวน์

ไวน์ที่มาจากแชมบัวร์ซิน กลายเป็นไวน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปี 1970 ในแถบภูมิภาค Bordeaux และ Loire Valley ของฝรั่งเศส และยังคงเป็นไวน์แดงอันดับต้น ๆ ที่ถูกนึกถึงอยู่เสมอจนถึงปัจจุบัน

แหล่งปลูกองุ่นและผลิตไวน์แชมบัวร์ซิน

องุ่นแชมบัวร์ซิน มีการปลูกมากที่สุดในภูมิภาคอเมริกาเหนือ กลางมหาสมุทรแอตแลนติกในภูมิอากาศเย็น สำหรับไร่องุ่นก็ยังสามารถหาได้ในนิวยอร์ก, นิวเจอร์ซี, นอร์ธ แคโรไรน่าและเพนซิเวเนียร์ ในส่วนของรัฐอื่น ๆ ที่ยังคงมีปลูกองุ่นแชมบัวร์ซินให้เห็น ได้แก่ เวอร์จิเนีย, แมริแลนด์, มิชิแกน, เวสต์ เวอร์จิเนีย, อิลลินอยส์, อินดีแอนาและมิสซูรี่ รวมถึงออสเตรเลียและฝรั่งเศสที่ทราบกันดีว่าองุ่นแชมบัวร์ซินนั้นเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี ทำให้ไวน์แชมบัวร์ซินที่ผลิตในออสเตรเลียมีความเข้มข้น ถูกใจผู้ที่ชื่นชอบดื่มไวน์เป็นอย่างมาก

ในทางกลับกัน ประเทศในแถบยุโรปจะไม่ได้รับอนุญาตให้มีการผสมองุ่นสายพันธุ์ดั้งเดิมกับองุ่นพันธุ์ผสม จึงเป็นผลให้ประเทศฝั่งยุโรปไม่สามารถจำหน่ายไวน์ที่ผลิตจากแชมบัวร์ซินได้อย่างแพร่หลาย

ความโดดเด่นของแชมบัวร์ซินที่หาได้ยากในองุ่นลูกผสม

ไวน์ที่ผลิตจากแชมบัวร์ซิน จะมีสีเข้มและมีกลิ่นหอม ซึ่งแตกต่างจากองุ่นลูกผสมสายพันธุ์อื่น ๆ แชมบัวร์ซินนั้นสามารถนำไปผลิตได้ทั้ง ไวน์จืด (Dry Wine) และไวน์หวาน (Sweet Wine) ด้วยปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในแชมบัวร์ซินนั้น มีความหวานที่พอเหมาะ คุณจะได้ดื่มด่ำกับไวน์แดงเข้มข้นแม้จิบเพียงแค่นิดเดียว

ไวน์แชมบัวร์ซิน เข้ากันได้ดีกับอาหารหลากหลาย ตั้งแต่แฮมเบอร์เกอร์ เนื้อลูกวัว ไปจนถึงอาหารปลา อย่าง ทูน่า, ปลาอิโต้มอญ (Mahi-mahi), ปลาฉนาก (Swordfish) และปลาลิ้นหมา เมื่อพูดถึงของหวาน ไวน์แชมบัวร์ซิน มักจับคู่กับของหวานที่ทำจากช็อคโกแลต สีเข้ม ๆ ของไวน์เหมาะสำหรับบรรยากาศการรับประทานอาหารค่ำในช่วงเย็นอันแสนโรแมนติก รสชาติขององุ่นและช็อคโกแลตสามารถเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว

Nero d’Avola ไวน์สีเข้มสะกดใจ สีสันจากเมือง Avola บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของซิซิลี

เมื่อกล่าวถึงซิซิลี แน่นอนว่าคุณคงเห็นภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางภาคใต้ของประเทศอิตาลี หมู่เกาะที่มีประวัติยาวนานกว่า 4,000 ปี เป็นดินแดนที่มีวัฒนธรรมผสมผสานหลากหลาย พรั่งพร้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งทะเล ชายหาด ไปจนถึงภูเขา และยังคงความเป็นอิตาลีดังเดิมได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งซิซิลียังมีขุมทรัพย์มหัศจรรย์อีกชนิดหนึ่งนั่นก็คือ องุ่น Nero d’Avola  (เนอโอ ดา โวลา)

Nero d’Avola องุ่นแดงที่สำคัญที่สุดของซิซิลี

Nero d’Avola ถูกยกให้เป็นองุ่นที่มีความสำคัญที่สุดของซิซิลี และเป็นหนึ่งในองุ่นสายพันธุ์พื้นเมืองที่สำคัญที่สุดของอิตาลี ถูกตั้งชื่อตามชื่อของเมือง Avola ที่เป็นเมืองชายฝั่งทางตอนใต้ของซิซิลี สำหรับ Nero d’Avola แปลว่า “Black of Avola” ซึ่งมาจากสีของผลองุ่นที่เป็นสีเข้มอย่างเด่นชัด

ในช่วงศตวรรษที่ 20 Nero d’Avola  ถูกใช้เพียงแค่เป็นส่วนผสมเล็กน้อย และไม่ค่อยพบเห็นชื่อปรากฏอยู่บนฉลากไวน์สักเท่าไร จนกระทั่งย่างเข้าศตวรรษที่ 21 อุตสาหกรรมไวน์องุ่นได้เจริญเติบโตเป็นอย่างมาก และก็สามารถพบเห็น Nero d’Avola ที่ถูกนำมาผลิตเป็นไวน์หลายชนิดจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา Nero d’Avola มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับไวน์ Syrah เพราะเป็นไวน์ที่ผลิตจากองุ่นที่มีแหล่งกำเนิดคล้าย ๆ กัน และมีลักษณะของกลิ่นและรสชาติคล้ายกันอีกด้วย

กระบวนการผลิต Nero d’Avola  ที่เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติของไวน์

ในขั้นตอนกระบวนการผลิต Nero d’Avola สามารถผลิตไวน์ที่มีรสชาติและสีแตกต่างกันไปตามระยะเวลาที่บ่มไว้ในถังไม้โอ๊คและอุณหภูมิที่พอเหมาะ สำหรับไวน์ที่มีอายุการบ่มน้อย จะให้ความรู้สึกถึงรสชาติของบ๊วยและผลไม้สีแดง ในขณะที่ไวน์ที่ถูกเก็บไว้นาน ๆ จะมีความซับซ้อนมากขึ้น จนสามารถรับรู้ได้ถึงรสช็อคโกแลตและราสเบอรี่เข้มข้น

Nero d’Avola จะมีแทนนินสูง, มีกรดกลาง อย่างไรก็ตาม หากต้องการรสชาติที่กลมกล่อม ควรเก็บ Nero d’Avola ไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิเย็น จะสามารถรักษาระดับแอลกอฮอล์ให้คงอยู่ในรสชาติได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบันได้มีการทดลองปลูก Nero d’Avola ในออสเตรเลียและแคลิฟอร์เนียร์ และเพราะการมีสีสันที่สะดุดตาทำให้ในบางครั้ง Nero d’Avola ก็ถูกนำไปผลิตไวน์ Rosé อีกด้วย

อาหารที่เข้ากันดีกับ Nero dAvola

เนื่องจาก Nero d’Avola มีรสชาติของผลไม้ที่มีลักษณะของแทนนิน และกรดอยู่ด้วย ทำให้ Nero d’Avola เป็นไวน์ชั้นเยี่ยมที่เหมาะสมกับเนื้อสัตว์ ที่เน้นหนักไปทางเนื้ออย่างมาก

การจับคู่อาหารแบบคลาสสิก อย่างเช่น ซุปหางวัวและสตูว์เนื้อ หรือบาร์บีคิว เบอร์เกอร์กับเบคอน ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้สัมผัสถึงรสชาติผลไม้ที่เหมือนกับได้อมลูกอมกลิ่นหอม ในส่วนของเครื่องเทศที่จะช่วยเสริมรสชาติให้ไวน์ Nero d’Avola ก็คือโป๊ยกั๊ก, เปลือกส้ม, ใบกระวาน, สาเก, ผงโกโก้, ซอสพลัมเอเชียและกาแฟ ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีเช่นกัน

องุ่น Lacrima หยดน้ำตาอันแสนล้ำค่าที่กลายมาเป็นไวน์ Lacrima di Morro d’Alba

ประเทศอิตาลียังคงเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ที่มีแหล่งผลิตไวน์รสชาติดี เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น อย่างเช่นในดินแดนแถบตะวันออก ระหว่างเทือกเขา Apennine และทะเล Adriatic มีแคว้นมาร์เค่ (Marche) ที่เป็นขุมทรัพย์ในการปลูกองุ่นพันธุ์พื้นเมืองโบราณที่มีชื่อสายพันธุ์ว่า Lacrima ต้นกำเนิดของชื่อองุ่นพันธุ์นี้เกิดขึ้นจากลักษณะทางกายภาพภายนอกที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าที่ว่า ผลขององุ่นเมื่อสุกจะเป็นรูปคล้ายหยดน้ำหรือน้ำตา ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาพื้นที่ปลูก Lacrima ได้ลดจำนวนลงอย่างมาก ทำให้หลงเหลือพื้นที่ปลูกไร่องุ่น Lacrima อยู่ใน Morro d’Alba เป็นส่วนใหญ่

แคว้นมาร์เค่สามารถผลิตไวน์ได้หลากหลายชนิด มีผลิตภัณฑ์มากถึง 13 ที่ได้รับฉลาก D.O.C (Denominazione di Origine Controllata) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าในบอดี้ของไวน์จะต้องมีองุ่นอย่างน้อย 85% และต้องเป็นองุ่นพันธุ์พื้นเมืองที่ไม่ได้รับการปรับแต่งสายพันธุ์แต่อย่างใด ส่วนกรรมวิธีการผลิตก็ยังคงใช้เทคนิคการหมักแบบคาร์บอนิก จนได้ไวน์สดที่มีกลิ่นหอมรุนแรงและรสอยู่ในระดับปานกลางเป็นธรรมชาติ ก่อนนำมาเก็บรักษาไว้ในถังไม้โอ๊คทำให้เกิดการบ่มจนมีรสชาติที่ดีขึ้น ผลคือได้ไวน์ชั้นยอดที่เกิดจากผลของ Lacrima อันโด่งดัง มีชื่อว่า Lacrima di Morro d’Alba (ลาคริม่า ดิ มอร์โร่ ดัลบ้า)

องุ่น Lacrima เป็นองุ่นที่ชอบภูมิอากาศแบบเขตอบอุ่น เนื่องจากไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศที่เลวร้ายและราสีเทาได้เป็นเวลานาน Lacrima ชื่นชอบแหล่งที่มีแดด ซึ่งจะส่งผลให้มีกลิ่นหอมในขณะที่ยังคงความเป็นกรดไว้ได้ เป็นการช่วยรักษาสมดุลของไวน์ เปลือกของผลองุ่นจะบาง แน่นอนว่าจะมีผลต่อความอ่อนโยนของแทนนิน ที่ดูเหมือนว่าไวน์ที่ได้จาก Lacrima จะเป็นสีอ่อน แต่ความจริงคือได้ไวน์ที่เป็นสีเข้ม

สี กลิ่นและรสของไวน์ Lacrima di Morro dAlba

Lacrima di Morro d’Alba เป็นไวน์แดงสีทับทิมเข้มที่แอบแฝงด้วยเฉดสีม่วง ทำให้ได้รับกลิ่นหอมที่โดดเด่น ความอบอวลของกลิ่นที่วิวัฒนาการมาจากสตรอเบอร์รี่, เชอรี่, แบล็กเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่ ด้วยบอดี้ของ Lacrima di Morro d’Alba นั้นอยู่ในระดับปานกลาง ก็จะทำให้เพดานของคุณรับรู้ถึงความดรายของแทนนินที่เจือปนอยู่ได้เป็นอย่างดี

การจับคู่ของ Lacrima di Morro dAlba กับอาหารมื้อโปรด

เมื่อองุ่น Lacrima ถูกทำมาเป็นไวน์ Lacrima di Morro d’Alba และถูกนำออกมาเสิร์ฟคู่กับอาหาร เพื่อให้มื้อนั้นกลายเป็นมื้ออาหารชั้นยอดของคุณได้ ซึ่ง Lacrima di Morro d’Alba สามารถเข้าได้ดีกับผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น เช่น เนื้อซาลามี่และ Ciauscolo, Medium-aged cheeses, พาสต้ากับซอสสีแดง เช่น ซอสเนื้อ, เนื้อแกะและกระต่ายย่าง และสามารถนำ Lacrima di Morro d’Alba มาทำเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้ด้วย ถ้าหากนำมาหมักกับปลาน้ำเงิน เมื่อจบการรับประทานอาหารมื้อนั้นแล้ว คุณอาจจะได้พบความสุขที่ลืมไม่ลงก็เป็นได้