Tag Archives: ไวน์ขาว

ไวน์ขาวชั้นยอดสัญชาติอิตาเลียนที่สามารถทำให้โลกของคุณเปลี่ยนภายในพริบตา

ทั่วมุมโลกมีไวน์ขาวอยู่มากมายหลากหลายชนิด ที่สามารถเป็นเครื่องดื่มดับกระหายให้กับคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่นิยมชมชอบบรรยากาศการดื่มด่ำอาหารมื้อโปรดไปพร้อมกับการจิบไวน์รสเลิศ ดังนั้นในบทความนี้จะแนะนำไวน์ขาวจากอิตาลี ชั้นยอดที่คัดสรรมาให้คุณได้พิจารณา รับรองว่าต้องเป็นไวน์ระดับดีเยี่ยมที่ควรค่าแก่การลิ้มลอง

6 ไวน์ขาวอิตาเลียน จากองุ่นพันธุ์พื้นเมืองสู่ไวน์ระดับไฮเอนด์

   ประเทศอิตาลีมีองุ่นพันธุ์พื้นเมืองเกิดขึ้นมากมาย จึงทำให้มีไวน์เกิดขึ้นมากตามไปด้วย และอิตาลีก็มีการพัฒนาไวน์ที่โดดเด่นกว่าแหล่งผลิตอื่น ๆ บนโลก สำหรับ 6 ไวน์ขาวจากอิตาลีที่จะแนะนำ มีดังต่อไปนี้

  1. Fruliano (ฟรูเลียโน) มีหลายคนเชื่อว่าองุ่นพันธุ์ฟรูเลียโน มีถิ่นกำเนิดอยู่ใน Friuli แต่มีผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาด้านพันธุ์องุ่นและความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในเขต Gironde ของฝรั่งเศส สำหรับรสและกลิ่นของฟรูเลียโนนั้น สิ่งแรกที่นักชิมจะสัมผัสได้นั่นก็คือ “กลิ่น” เป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของคุณได้เป็นอย่างดี ด้วยความอ่อนละมุนของดอกมะลิ, นาร์ซิสซัส, มะเดื่อแห้ง, ผิวส้มและแอปเปิลเขียว แอบซ่อนไว้ด้วยกลิ่นของธรรมชาติอย่างก้อนหินและเกลือทะเล ไวน์ฟรูเลียโนจะเข้ากันดีกับ Prosciutto San Danielle, ปลาคอตหรือปลาฮาลิบัตย่าง
  2. Soave (โซอาเว่) เป็นไวน์รสหวาน มีการบันทึกไว้ว่าไวน์โซอาเว่ได้สูญหายไปพร้อมกับการล่มสลายของจักรรรดิโรมัน จนได้มีการค้นพบอีกครั้งในอีก 1500 ปีต่อมา ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นไวน์ขาวอิตาเลียนที่น่าพิสมัยมากชนิดหนึ่ง หากเปรียบสุภาพบุรุษกับไวน์โซอาเว่แล้วนั้น คงจะนิยามได้ถึงความมีเสน่ห์ มั่นใจ และสง่างาม ที่แฝงด้วยความอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตนในแบบที่ผู้ชายพึงมี หากได้ลิ้มลองคู่กับเนื้อลูกวัวย่างรสชาติจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี
  3.  Timorasso (ทิโมรัสโซ) ไวน์องุ่นขาวของอิตาเลียน เกิดจากองุ่นที่ปลูกในแถบภูมิภาค Piedmont ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี มันถูกใช้เพื่อทำไวน์อะโรมาติกที่มีคุณภาพสูง กลิ่นของไวน์ทิโมรัสโซจะให้ความรู้สึกถึงกลิ่นของแอปเปิ้ล, น้ำผึ้งอะคาเซีย, แร่ธาตุ, สมุนไรพแห้งและเลม่อนแช่อิ่ม การได้ลิ้มรสไวน์ทิโมรัสโซกับเนื้อลูกวัวผัดกับเห็ดป่า หรือราวีโอลี่ไก่ฟ้าย่าง อาจจะทำให้คุณลืมไม่ลงเลยทีเดียว
  4. Verdicchio (เวอดิคคิโอ) องุ่นสีเขียวที่ถูกนำมาผลิตเป็นไวน์ในชื่อเดียวกัน กลิ่นและรสชาติของไวน์เวอดิคคิโอจะมีกลิ่นของมะนาว, กีวี่, หญ้าสด, มะละกอดิบและผักชี ในปัจจุบันจะสามารถพบไวน์เวอดิคคิโอในหลายระดับราคาตามคุณภาพของรสชาติ เหมาะกับการดื่มคู่กับอาหารโซนเอเชียที่มีรสชาติเผ็ดร้อน และของทอดทุกชนิด
  5. Greco di Tufo (เกรโก ดิ ทูโฟ) เป็นไวน์อิตาเลียนที่ถูกเรียกว่าไวน์ “สไตล์กรีก” เพราะเนื่องจากมีรสหวานนำ กลิ่นที่อยู่ในตัวไวน์คือ ไวท์ บอสซัม, แอปริคอตแห้งและกลิ่นหอมของดินเผา จะให้รสฝาดตอนจิบแรก หลังจากนั้นจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นของทาร์ตแอปเปิลเขียวบนครีมตลบอบอวลอยู่ในปาก หากได้กินคู่กับ Mozzarella di bufala กับมะเขือเทศ หรือปลาย่างมะนาวและน้ำมันมะกอก รสชาติจะเข้ากันได้ดี
  6. Etna Bianco (แอทน่า เบียนโก) ไวน์ที่ผลิตจากองุ่นพันธุ์พื้นเมืองของอิตาลี กลิ่นและรสชาติมีความซับซ้อนหลากหลาย การได้ดื่มไวน์ชนิดนี้กับทูน่า คาร์ปาซิโอ, ไก่ย่างสมุนไพร จะทำให้คุณค้นพบมื้ออาหารที่ตราตรึงใจไม่น้อย

ไวน์ขาวทั้ง 6 แบบที่ได้แนะนำไปนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของไวน์อิตาเลียนที่คุณสามารถลิ้มลองรสชาติกันได้ ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการดื่มไวน์ คุณก็ไม่ควรพลาดไวน์ที่ได้แนะนำไว้ ใครจะรู้ว่า…คุณอาจจะลืมไวน์แดงแก้วโปรดของคุณไปเลยก็เป็นได้

Malagousia หัวใจหลักของไวน์ขาวที่เกือบสูญพันธุ์

“มาลากูเซีย” (Malagousia) เป็นองุ่นขาวสายพันธุ์กรีกที่ใช้ผลิตไวน์ขาว ที่ถูกเรียกขานว่าเป็น “หัวใจหลักของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาสมัยใหม่แห่งการผลิตไวน์ในกรีซ” เนื่องจากเพิ่งมีการพบเห็นการใช้มาลากูเซีย เพียงในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ผลิตไวน์ในกรีซได้ค้นพบความสามารถในการผลิตไวน์มาลากูเซียของพวกเขาอีกครั้ง เพราะในปี 1970 มาลากูเซียเป็นองุ่นพันธุ์สีขาวที่มีคนรู้จักน้อยมาก จนหลาย ๆ คน คิดว่าองุ่นพันธุ์นี้ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ยังมีการวิจัยโดยอาจารย์มหาวิทยาลัย ร่วมมือกับผู้ผลิตองุ่นชั้นแนวหน้า ทำให้มาลากูเซียกลายเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ว่าเป็นองุ่นชั้นนำระดับโลก เมื่อนำไปผลิตเป็นไวน์ขาว หรือ White Wine ก็มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ที่ตราตรึงใจ

กลิ่นอายและรสสัมผัสจากดินแดน AetoliaAcarnania

เมื่อมาลากูเซียได้กลายมาเป็นไวน์ จะมีลักษณะสีเขียวมะนาวที่ซีดและใส แต่กลิ่นของไวน์นั้นจะโดดเด่นเข้มข้นจนจมูกสามารถรับรู้กลิ่นอายของมาลากูเซียได้ตั้งแต่เปิดขวด กลิ่นที่คุณได้สัมผัสในโสตประสาทนั้น เริ่มจากกลิ่นของลูกพีช, พริกหยวกสีเขียว, ใบโหระพา รวมถึงกลิ่นของดอกไม้นานาพันธุ์ที่แขวนไว้บนเพดาน แต่ยังให้กลิ่นสดชื่นอยู่เสมอ พร้อมแอลกอฮอล์ในระดับปานกลาง ความหวานของไวน์มาลากูเซียนั้นเกิดจากองุ่นที่ถูกเก็บเกี่ยวในช่วงปลาย เนื่องจากตัวของผลองุ่นจะมีความแน่นและมีกลิ่นหอมมากขึ้น และเป็นเรื่องแปลกที่มาลากูเซียใช้เวลา 4 ปีก็สามารถให้รสชาติที่หอมหวานได้แล้ว ในขณะที่ไวน์หวานชนิดอื่น ๆ ต้องใช้เวลาสี่ถึงเจ็ดปีถึงจะได้รสชาติที่ถูกใจนักชิม

มาลากูเซียเป็นองุ่นที่เชื่อว่ามีต้นกำเนิดมาจากทางตะวันตกของกรีซตอนกลาง (Aetolia-Acarnania) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับการผลิตไวน์หวาน การปลูกพืชสมัยใหม่ในปัจจุบัน มีผู้คนหันมาปลูกมาลากูเซียในพื้นที่กันเป็นส่วนใหญ่ของกรีซ

Malagousia จับคู่กับอาหาร ช่วยเพิ่มรสชาติให้มื้ออาหารน่าประทับใจไม่รู้ลืม

มาลากูเซีย เป็นไวน์ขาวที่มีรสชาติติดหวานตรงปลายลิ้นเมื่อคุณได้ลองจิบ ก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือในขณะเล่นเกมกับ Fun88 ก็จะทำให้อาหารในมื้อนั้นมีรสชาติที่ประทับใจคุณอย่างแน่นอน สำหรับอาหารที่เหมาะกับการกินร่วมกับมาลากูเซียนั้น มีหลายชนิด อย่างเช่น อาหารประเภทซีฟู้ด, สลักผักหลายหลายชนิด, พาสต้า, อาหารที่มีรสจัด, ชีส รวมไปถึงไวน์ก่อนอาหารด้วย

Malagousia เป็นไวน์ วาไรตี้ ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างกว้างขวางทั่วโลก เป็นตัวอย่างไวน์ขาวชั้นยอด ที่มีกลิ่นหอมอัดแน่นไปด้วยความมีชีวิตชีวาและความซับซ้อนไปด้วยกัน หากคุณดื่มมาลากูเซียควบคู่ไปกับสลัดผักและอาร์ติโชค ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “นักฆ่าไวน์” คุณจะค้นพบความมหัศจรรย์ว่านักฆ่าไวน์ไม่สามารถดับรสความกลมกล่อมของมาลากูเซียได้เลย นอกจากนี้มาลากูเซียยังมักถูกจับคู่อย่างพิถีพิถันให้เข้ากับรสชาติของผลไม้ในมื้อของหวานอีกด้วย

Pinot Grigio ต้นตำรับไวน์ขาวแห่งอิตาลี เมืองที่เต็มไปด้วย สถาปัตยกรรม เรื่องราวและผู้คน

อิตาลี เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันโด่งดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหอเอนแห่งเมืองปิซ่า โคลอสเซียม และโบสถ์ซานเปโตรนีโอแถมยังเต็มไปด้วยเรื่องเล่าจากประวัติศาสตร์ และผู้คนที่มีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเองอีกด้วย แต่ความน่ารักของประเทศอิตาลียังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะนอกจากจะมีเรื่องราวมากมายและมีสถาปัตยกรรมสวยแล้ว ประเทศอีตาลี ยังเป็นแหล่งกำเนิดของไวน์ขาว หรือ White wine อันเลื่องชื่ออย่าง “ปิโนต์ กรีโจ” (Pinot Grigio) ด้วยล่ะ เชื่อว่าคนรักไวน์หลายคนคงไม่พลาดที่จะทำความรู้จักกับเจ้าไวน์ตัวนี้ แต่ประวัติความเป็นมาของ ปิโนต์ กรีโจจะเป็นอย่างไร และทำไมถึงได้ครองใจคนทั่วโลกได้นั้น เราจะไปหาคำตอบพร้อมกันในบนความนี้เลย

ต้นกำเนิด Pinot Grigio ไร่องุ่นที่ใกล้เทือกเขาแอลป์ และตัดผ่านไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ย้อนกลับไปเมื่อ80 ปีก่อนท่านเคาท์ Gaetano Marzotto ได้ทำการเปลี่ยนที่รกร้างบริเวณใกล้กันกับเทือกเขาแอลป์ ให้กลายเป็นพื้นที่โล่งในบริเวณใกล้กันของเทือกเขาแอลป์นั้นยังมีแม่น้ำสายเล็กที่ตัดผ่านไปยังทะเลเมดิเตอร์เรนียน หลังจากทำให้พื้นที่บริเวณนี้โล่งเรียบร้อยแล้ว ในเวลาต่อมาเขาจึงได้พัฒนาให้พื้นที่นี้กลายเป็นพื้นที่สำหรับการทำไร่องุ่น โดยมีปณิธานว่าจะทำไวน์ที่มีรสชาติดั้งเดิมตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมันให้คนรักไวน์ได้ดื่ม และเพื่อรักษาไม่ให้การทำไวน์แบบโบร่ำโบราณหายไปจึงได้ก่อเกิดเป็นแบรนด์ไวน์ในเวลาต่อมา ที่เรารู้จักกันในชื่อ“Santa Margherita”ซึ่งเป็นชื่อภรรยาของเขานั่นเอง

“ปิโนต์ กรีโจ”ได้ถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ.1960 โดยผู้ผลิตคนหนึ่งในแบรนด์ได้แรงบันดาลใจมาจาก Sparkling wine แบบดั้งเดิม เขาจึงได้นำสูตรไปดัดแปลง โดยการนำองุ่นสายพันธุ์ Pinot Gris ชนิดที่ยังอ่อนและเปลือกไม่แข็งมากมาคัด ก่อนจะนำไปหมักด้วยวิธีการไม่ให้สัมผัสกับพื้นผิวอากาศ และทำการบ่มไว้อย่างนั้นจนกว่าจะได้กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมีลักษณะหอมหวานคล้ายดอกไม้ ผสมกับกลิ่นแบบ Fruityโดยวิธีนี้ได้รับการดัดแปลงมาจากวิธี Romato ซึ่งเป็นวิธีการหมักไวน์ดั้งเดิมของอิตาลี

Pinot Grigio ไวน์ขาวที่ไม่ว่าจะทานคู่กับอะไรก็อร่อย สร้างสีสันให้แก่การออกไปปิกนิก

สีของปิโนต์ กรีโจ จะอ่อนใสอมเหลืองเล็กน้อย รสชาติหวานอมเปรี้ยว และมีกลิ่นที่เข้มข้นมาก ๆ หากจิบในครั้งแรกจะรู้สึกได้ถึงความดรายและทิ้งรสชาติคล้ายแอปเปิลไว้ที่ปลายลิ้น สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ปิโนต์ กรีโจ สามารถทานคู่ได้กับอาหารหลากหลายชนิดไม่ว่าจะของคาวหรือหวาน เช่น พาสต้า อาหารจานข้าว ชีส หรือซูเฟล่เป็นต้น

เรียกได้ว่า “Pinot Grigio”เป็นไวน์ขาวชั้นเลิศที่มีเสน่ห์จากไวน์ยุคก่อนผสมผสานอยู่ในตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่ไวน์ขวดนี้จะโด่งดังไปทั่วโลก อีกทั้งใครหลายคนต่างก็รู้จักและให้การยอมรับ เหมาะสมกับการเป็นไวน์สัญชาติอิตาลี ไวน์ที่เติมเต็มให้ทุกโอกาสเปี่ยมไปด้วยความสุข สนุกสนาน และน่าจดจำเหมือนกับเมืองอันสวยงาม

Koshu องุ่นสายพันธุ์ผสม แหล่งกำเนิดความพิถีพิถันแบบเอเชียที่เต็มไปด้วยความน่าค้นหา

ประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศในฝันของใครหลายคน ที่ชีวิตนี้อยากจะไปเยือนสักครั้ง ที่ดินแดนอาทิตย์อุทัยนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร วัตนธรรม หรือประเพณี แต่ยังมีอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ที่หลาย ๆ ท่านยังไม่เคยได้ล่วงรู้นั่นก็คือ ที่นี่เป็นต้นกำเนิดพันธุ์องุ่นที่มีชื่อว่า “Koshu” องุ่นสายพันธุ์ลูกครึ่งระหว่างเอเชียและยุโรป ที่ผ่านการตัดต่อ DNA จนเป็นที่มาของไวน์ขาวรสชาติหอม มีความพิถีพิถัน และเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่น่าค้นหาแบบชนชาติเอเชีย

ความร้อนและเย็นที่ไหลเวียนเปลี่ยนผ่าน ทำให้สายพันธุ์องุ่น Koshu มีลักษณะที่โดดเด่น ไม่เหมือนใคร

จุดเริ่มต้นขององุ่นสายพันธุ์ Koshu เริ่มมาจากชาวสวนคนหนึ่งในจังหวัดยามานาชิ ประเทศญี่ปุ่น เขาได้อาศัยอยู่ทางตอนบนของจังหวัด และได้นำสปีชีส์ขององุ่นในสายพันธุ์ยุโรปมาผสมผสานกับองุ่นพันธุ์พื้นเมืองของญี่ปุ่นหลังจากตัดต่อพันธุกรรมแล้วเลยลองนำมาเพาะปลูกในบริเวณไร่ของตนเอง แต่เนื่องจากในจังหวัดยามานาชิ รวมไปถึงพื้นที่บริเวณนั้นมีฤดูที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอด หากเข้าหน้าร้อนก็จะร้อนสุด ๆ และหากหนาว ก็จะหนาวจนเย็นยะเยือกเช่นกัน ทำให้เขาเกิดเป็นกังวลว่าองุ่นสายพันธุ์ที่ทำขึ้นใหม่นี้จะสามารถเติบโตได้หรือไม่ หากแต่ในเวลาต่อมาก็ได้ทราบว่า อากาศที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวนั้นคือหัวใจสำคัญเชียวล่ะ เพราะเจ้าองุ่นสายพันธุ์ Koshu ต้องอาศัยอากาศทั้งร้อนและเย็นในการเติบโตและด้วยเหตุปัจจัยนี้จึงทำให้รสชาติของมันเปลี่ยนไปด้วยโดยปริยาย แตกต่างจากรสชาติองุ่นหลาย ๆ สายพันธุ์ในยุโรปที่มักจะหนาวเสียเป็นส่วนใหญ่

อย่างไรก็ดี การจะทำให้ Koshu ออกมามีรสชาติอร่อย เติบโตเต็มต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมต้องผ่านการดูแลที่พิถิพิถันแน่นอน ซึ่งเริ่มตั้งแต่การปลูกองุ่น Koshuคนที่นี่จะปลูกองุ่นเป็นลักษณะไม้เลื้อยขึ้นเป็นโดม ป้องกันไม่ให้ผลผลิตบอบช้ำ และกิ่งก้านแตกหักยามเข้าสู่ฤดูฝน อีกทั้งตอนเก็บเกี่ยวผลผลิต ก็จะใช้การตัดกิ่งในแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ทำให้ตัวองุ่นคงความสดใหม่ เหมือนกับอยู่บนต้นเช่นเดิม

Koshuหัวใจของ White wineที่เติมเต็มสัมผัสใหม่ให้กับคนรักไวน์ได้ลิ้มลอง

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วด้านต้น ว่าองุ่น Koshu เป็นสายพันธุ์องุ่นที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์ทางยุโรปและเอเชีย ประกอบกับการเลี้ยงดูด้วยสภาพอากาศที่แตกต่างไปจากไวน์ฉบับดั้งเดิมจึงยิ่งเสริมให้องุ่นพันธุ์นี้มีความพิเศษมากมายในตัวของมันเองไม่ว่าจะเป็น ตัวผลที่จะมีลักษณะเล็ก แต่เป็นสีอ่อน ๆ ซีด ๆ เปลือกด้านนอกจะแข็ง แต่ข้างในกลับนิ่ม หากเด็ดกินเปล่า ๆ ไม่ต้องนำไปบ่มไวน์ จะสัมผัสได้ถึงความกรุบกรอบเล็กน้อยตอนเคี้ยวในปาก อธิบายลักษณะเด่นของรสชาติได้ยาก มีความหอมโดดแบบยุโรป แต่ในเวลาเดียวกันก็มีความกลมกลืนเป็นธรรมชาติแบบองุ่นเอเชีย

จุดเริ่มต้นที่ทำให้ Koshu ถูกพัฒนามาเป็นไวน์ขาว นั่นก็เพราะบริษัททำไวน์บริษัทหนึ่งในจังหวัดยามานาชิ ได้ส่งลูกของเขาสองคนไปเรียนการทำไวน์ที่ฝรั่งเศส เมื่อกลับมาบุคคลทั้งสองนั้นจึงกระตือรือร้นในการทำไวน์ญี่ปุ่นมาก จึงได้นำ Koshu เข้าสู่กระบวนการพัฒนา จนค่อย ๆ มีชื่อเสียงมากขึ้นและกลายเป็นไวน์ขาวอันโด่งดัง เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์แบบเอเชียให้เราได้ลิ้มรสกันในทุกวันนี้

นอกเหนือจากนี้ Koshu ยังเหมาะที่จะดื่มคู่กับเมนูอาหารต้นตำรับของญี่ปุ่นทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ซูชิ เทมปุระ หรือราเม็น เพราะจะทำให้รสชาติอาหารพวกนั้นเพิ่มความจัดจ้านมากขึ้น หรือหากคุณสนใจที่อยากจะทานคู่กับอาหารประเภทอื่นก็ได้เช่นกัน แต่ขอแนะนำว่าไม่ควรเป็นอาหารรสจัด ควรจะเป็นสลัดผัก ไม่ก็เนื้อย่างที่ไม่ผ่านการปรุงจะดีที่สุด

Tokaji เสน่ห์ของไวน์เก่าแก่สัญชาติฮังกาเรียน ประวัติศาสตร์แห่งทวีปยุโรป

ฮังการีคือชื่อของประเทศหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของทวีปยุโรป เป็นอีกประเทศที่มีชื่อเสียงเรื่องภูมิทัศน์ที่สวยงาม การคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติ รวมทั้งมีสถาปัตย์กรรมแนวโกธิคที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยสามารถพบเห็นได้จากอาคารสำคัญ ๆ ของประเทศ อาทิ อาคารรัฐสภาฮังการี แต่นอกจากจุดเด่นเหล่านี้แล้วประเทศฮังการียังมีชื่อเสียงในเรื่อง “ไวน์” อีกด้วย เชื่อว่าสำหรับผู้ที่รักการดื่มไวน์ คงต้องเคยได้ยินชื่อไวน์ขาวรสหวานแบรนด์ “Tokaji” ของที่นี่มาบ้างไม่มากก็น้อย

Noble rot องุ่นเน่าแบบผู้ดี ที่มาของความหวานแสนพิเศษในไวน์ Tokaji

“Tokaji” เป็นไวน์ขาวรสหวานที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก “István Szepsy” คือชื่อของทายาทรุ่นที่ 16 ของตระกูล “Szepsy” ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มผลิตไวน์นี้มาตั้งแต่ประมาณปีค.ศ.1500 หรือยาวนานกว่า 500 ปี จนถึงตอนนี้ตระกูลก็ยังคงทำการผลิตไวน์อยู่ใน “Mád Village” อันเป็นหมู่บ้านโบราณที่มีความสำคัญอีกเช่นกัน เพราะเป็นหมู่บ้านแห่งแรก ๆ ของโลกที่ทำปลูกไร่องุ่นเพื่อผลิตไวน์โดยเฉพาะ จนถึงยุคสมัยของทายาทรุ่นล่าสุด ไร่องุ่นของตระกูลมีขนาดกว้างใหญ่มากถึง 65 เฮกตาร์ และกินพื้นที่กว่า 6 หมู่บ้านในบริเวณใกล้เคียง

István ได้ให้สัมภาษณ์ว่าตระกูลของเขาได้ทำการผลิตไวน์สามประเภทหลัก ๆ ได้แก่ 1.Furmint Dry 2.Szamorodni Sweet และ 3.Six Puttonyos Aszú โดยเขาคิดว่าปัจจัยหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังรสชาติแสนล้ำเลิศของไวน์มาจาก “หินภูเขาไฟ” เพราะไร่องุ่นของเขาได้ทำการปลูกอยู่ด้านบนพื้นดินและหินกว่า 30 ชั้น ที่ประกอบไปด้วยแร่ธาตุจากภูเขาไฟโบราณ ทำให้ได้องุ่นขนาดใหญ่ที่มีรสชาติอร่อย สดใหม่ และสมบูรณ์พร้อมที่จะนำไปใช้ต่อ

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเคล็ดลับสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความหวานของไวน์ Tokaji นั่นคือการใช้ประโยชน์จากเชื้อราที่มีชื่อว่า “Botrytis” หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า “Noble rot” ซึ่งหมายความว่า “การเน่าแบบชนชั้นสูง” เพราะเมื่อองุ่นมีการติดเชื้อก็จะทำให้เมล็ดองุ่นนั้นแห้งและเหี่ยวเฉาลง ส่งผลให้องุ่นมีรสชาติที่หวานมากขึ้น หลังจากนั้นก็จะทำการเก็บเกี่ยว เอาองุ่นติดเชื้อเหล่านั้นไปคั้นน้ำ และหมักในถังไม้จนได้เป็นไวน์ขาวรสหวานแบรนด์ Tokaji นั่นเอง

ไวน์ที่มีค่าเหนือกาลเวลา Tokaji Wine รสชาติที่ผู้คนชนชั้นสูงชื่นชอบ

                ด้วยคุณภาพและรสชาติที่อร่อยระดับโลก ทำให้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไวน์ Tokaji นี้เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในทุก ๆ ยุคสมัย ซึ่งหมายรวมถึงบุคคลในอดีตที่มียศถาบรรดาศักดิ์หลายคน เช่น วอลแตร์, สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 4, ประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สัน, เจ้าชายราโกตซี แฟแร็นตส์ที่ 2, พระเจ้าหลุยส์ที่ 14, แคทเธอรีนมหาราชินี และสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย จะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้ต่างเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติตะวันตกทั้งสิ้น สามารถกล่าวได้ว่า Tokaji นั้นเป็นไวน์เก่าแก่ที่ทรงคุณค่าเสมอไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม

                หากเป็นผู้ที่ชื่นชอบการดื่มไวน์ Tokaji น่าจะเป็นไวน์อีกแบรนด์หนึ่งที่ชีวิตนี้ควรลิ้มลองให้ได้สักครั้ง เพราะสิ่งที่จะได้จากขวดแก้วอาจไม่ใช่แค่รสชาติของน้ำองุ่นหมักเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงรสชาติของเรื่องราวในประวัติศาสตร์อันยาวนานที่แฝงอยู่ในนั้นอีกด้วย

Wine with girl มาแนะนำไวน์ที่เหมาะกับสาว ๆ มือใหม่หัดดื่มไวน์กัน

                ไวน์ถือเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผู้หญิงชื่นชอบ เพราะให้ความรู้สึกที่มีเสน่ห์ มีรสนิยม และสามารถใช้ในการเข้าสังคมได้ หรืออาจจะเป็นความชอบโดยส่วนตัว และที่สำคัญก็คือการดื่มไวน์ในปริมาณที่พอเหมาะนั้นให้ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้ดีกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น เพราะในไวน์มีสารจำพวกต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสามารถช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ เดี๋ยวนี้จึงจะเห็นสาว ๆ หลายคนเลือกที่จะเริ่มหันมาดื่มไวน์แทนการดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่นกันมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่สำหรับสาว ๆ คนไหนที่กำลังสนใจอยากจะมาลิ้มลองไวน์ดูบ้าง วันนี้เราจะมาแนะนำไวน์ที่เหมาะกับมือใหม่กัน

อย่างที่รู้กันว่าร่างกายของผู้หญิงนั้นค่อนข้างบอบบางกว่าคุณผู้ชาย รวมไปถึงการสลายแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปด้วย ทำให้ผู้หญิงมักจะดื่มได้น้อยกว่าและมึนเมาได้มากกว่านั่นเอง เพราะฉะนั้นไวน์ที่เหมาะกับคุณผู้หญิงโดยเฉพาะมือใหม่หัดดื่มจึงควรเป็นไวน์ที่ปริมาณแอลกอฮอล์ไม่มากจนเกินไปและมีรสชาติที่ค่อนข้างดื่มง่ายก่อน อย่างไวน์ขาวแบบต่าง ๆ ที่จะมีรสชาติที่เปรี้ยวหวานนำมากกว่าไวน์แดง ที่จะมีรสฝาดมากกว่า หรือจะลองเป็นสปาร์คกลิ้งไวน์ แชมเปญ หรือไวน์โรเซ่ที่เป็นไวน์มีฟองและให้ความรู้สึกที่สดชื่น กลิ่นหอม และดื่มง่ายซึ่งมีหลากหลายแบบให้ได้เลือกลิ้มลอง และหากไม่อยากลองดื่มเฉพาะไวน์อย่างเดียว แนะนำให้ลองดื่มคู่กับอาหาร ผลไม้ หรือขนมที่เข้ากันดู เพราะไวน์จำพวกไวน์ขาวหรือสปาร์คกลิ้งไวน์จะสามารถทานกับอาหารที่รสชาติไม่หนัก อาหารเบา ๆ เช่น สลัด หรืออาหารจำพวกเนื้อปลาได้ดี จึงเหมาะเป็นเครื่องดื่มคู่กับอาหารสำหรับสาว ๆ ที่กำลังดูแลสุขภาพเป็นพิเศษที่ไม่อยากทานอาหารมื้อหนักจนเกินไปได้เป็นอย่างดี แต่หากสาว ๆ คนไหนที่ชอบรสชาติที่หนัก ๆ ขึ้นมาหน่อย ก็อาจจะลองเลือกไวน์แดงมาจิบดูก็ได้ ก็จะได้รสชาติที่แตกต่างออกไปจากไวน์ขาวโดยเฉพาะรสสัมผัสที่จะมีความฝาดและมีความเข้มข้นไปอีกแบบ

                และสำหรับสาว ๆ มือใหม่นั้นควรเริ่มต้นที่การดื่มที่วันละประมาณ 1 – 2 แก้วก่อน เพราะอย่าลืมว่าอย่างไรแล้วไวน์ก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ หากดื่มมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีได้ เพราะฉะนั้นควรเริ่มต้นที่ปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป แล้วถึงค่อย ๆ เพิ่มปริมาณไปทีละนิดจะดีว่า เพราะเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการดื่มไวน์ก็คือการค่อย ๆ ดื่มเพื่อให้ได้รับรู้ถึงรสสัมผัสทั้งกลิ่นและรสชาติที่แท้จริงของไวน์นั่นเอง รู้แบบนี้แล้วต่อไปสาว ๆ ก็อย่าลืมไปลองเลือกไวน์ที่แนะนำไปมาดื่มดูได้เลย รับรองว่าจะต้องหลงรักเครื่องดื่มสุดคลาสสิกที่เรียกว่าไวน์นี้อย่างแน่นอน

Category : สาระน่ารู้

Tag : ดื่มไวน์, เลือกไวน์, ไวน์ขาว

https://bit.ly/2EocZIG

เคล็ดลับการจับคู่ไวน์กับอาหารที่มีรสจัด

โดยปกติแล้ว สาเหตุที่ไวน์ไม่เหมาะกับอาหารที่มีรสจัด ก็เป็นเพราะรสชาติที่ซับซ้อนและเข้มข้นของไวน์ ที่มักจะไปทำลายรสชาติที่ซับซ้อนอยู่แล้วของอาหารที่มีรสจัด แต่ก็มีไวน์บางตัว ที่มีรสชาติเบา ๆ และเหมาะกับอาหารรสจัดเป็นที่สุด โดยสิ่งเหล่านี้ก็คือสิ่งที่คุณควรคำนึงไว้หากต้องการจะเลือกไวน์ที่เหมาะกับอาหารรสจัด

1.หลีกเลี่ยงไวน์ที่มีกลิ่นโอ๊กและแอลกอฮอล์

ไวน์ที่เหมาะกับอาหารที่มีรสชาติซับซ้อนก็คือไวน์ที่มีแอลกอฮอล์ปานกลางไปถึงต่ำ คุณควรเลือกไวน์ที่มีรสชาติเบา สดชื่นและมีความเป็นกรด ซึ่งจะช่วยชูรสชาติที่เผ็ดร้อนและเข้มข้นของอาหารที่มีรสชาติเผ็ดจัดได้เป็นอย่างดี ราวกับมะนาวที่ปรุงรสชาติของอาหาร เช่นเดียวกันกับรสชาติของโอ๊กในตัวไวน์ ที่จะไปทำให้รสชาติของอาหารรสจัดนั้นด้อยลงไป ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงไวน์ที่มีกลิ่นโอ๊กเด่นเกินไปจะดีที่สุด

2. เลือกไวน์ที่มีกลิ่นผลไม้และไม่มีรสฝาด

ควรเลือกไวน์ขาวที่มีกลิ่นหอม มีความฝาดน้อยที่สุดและมีรสชาติผลไม้ที่โดดเด่น ซึ่งไวน์ที่มีรสชาติแบบนี้เหมาะกับอาหารที่มีรสจัดจากเอเชียมากที่สุด โดยความหวานจากน้ำตาลที่เหลืออยู่ในไวน์จะสร้างรสชาติที่ตัดกับความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศ ดึงสมดุลรสชาติของอาหารให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

3.เพิ่มรสชาติของอาหารด้วยไวน์แดงที่มีรสชาติเบา

สำหรับไวน์แดงที่มีรสชาติจัดจ้านก็สามารถดื่มคู่กับอาหารรสจัดได้เช่นเดียวกัน แม้จะมีแทนนินที่ทำให้มีรสฝาดและมีแอลกอฮอล์ที่ค่อนข้างสูง ที่จะเข้าไปเน้นความขมของอาหารและช่วยทำให้อาหารมีรสชาติที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยเคล็ดลับในการเลือกไวน์แดงที่เหมาะกับอาหารก็คือควรจะมีความเป็นกรดอยู่มากพอสมควร เพื่อทำให้ตัวไวน์เบา สามารถดื่มคู่กับอาหารรสจัดได้โดยไม่ทำให้รสชาติโดยรวมหนักจนเกินไป

แนะนำไวน์ที่เหมาะกับอาหารที่มีรสจัด

แนะนำให้หลีกเลี่ยงไวน์ที่มีแอลกอฮอล์และแทนนินมากเกินไปอย่าง Cabernet Sauvignon, Shiraz และ Merlot พอ ๆ กับ Chardonnay ที่มีกลิ่นโอ๊กแรงจนเกินไป

ในไวน์ขาวที่มีกลิ่นผลไม้ที่น่าสนใจก็มี Albariño จาก Rías Baixas ในสเปนไวน์ Grüner Veltliner จากออสเตรีย และ Vouvray จาก Loire valley ในฝรั่งเศส นอกจากนั้นก็ยังมีไวน์ Gewürztraminer และ Viognier ที่แม้จะไม่มีรสเปรี้ยวสดชื่นมากมายนัก แต่ก็มีกลิ่นหอม ๆ และรสชาติผลไม้ เหมาะสำหรับอาหารที่มีรสเผ็ดที่สุด

และสำหรับไวน์แดงที่ค่อนข้างเหมาะดื่มคู่กับอาหารที่มีรสเผ็ดก็มี Barbera จากอิตาลี ไวน์ Beaujolais จากประเทศฝรั่งเศส โดยไวน์เหล่านี้มีแทนนินค่อนข้างต่ำ พร้อมรสผลไม้สดชื่นและความเป็นกรดค่อนข้างต่ำ เหมาะกับอาหารที่มีรสเผ็ด

จริง ๆ แล้วอาหารทุกประเภทก็เหมาะกับไวน์ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเราควรจะเลือกไวน์ให้เหมาะสมกับอาหารที่เราจะทานมากที่สุด เพื่อช่วยให้อาหารมื้อนั้นเป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด ถ้าไม่เชื่อ ลองจับคู่ไวน์กับอาหารรสจัดที่คุณชื่นชอบดู รับรองว่าไม่ผิดหวัง

มือใหม่อยากลองดื่มไวน์มาทางนี้ แนะนำการเลือกไวน์และไวน์สำหรับเริ่มต้นดื่มไวน์

เมื่อคุณเป็นมือใหม่ในวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยอดนิยมอย่างไวน์ คุณอาจจะสับสนและมึนงงกับไวน์ชนิดต่างๆ ยี่ห้อของไวน์ ประเทศที่ผลิตและศัพท์ทางเทคนิคต่างๆ มากมาย จริงๆ แล้วคุณไม่จำเป็นที่จะต้องจำคำศัพท์อะไรมากนัก เพียงแค่ต้องทำความเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้

ความหวาน ไวน์ที่มีความหวานเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์ หากคุณอยากลองชิมไวน์ที่มีรสหวาน ลองเลือกไวน์ที่มีเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ค่อนข้างสูงสักหน่อยเพื่อที่จะช่วยดึงความหวานของไวน์ออกมาได้ดียิ่งขึ้นแม้จะไม่ได้มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบมากนักก็ตาม

แทนนิน เป็นสารที่พบหลัก ๆ ในไวน์แดงและมักจะติดอยู่ที่ฟันของคุณเหมือนกับหมากฝรั่งหลังจากที่คุณกลืนไวน์ลงไป และทิ้งรสขมติดลิ้น ซึ่งรสชาติแบบนี้อาจจะทำให้ผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์ไม่ค่อยประทับใจกับไวน์ไปเลย ดังนั้นหากคุณเริ่มต้นดื่มไวน์ ก็ควรที่จะเลือกไวน์ที่มีแทนนินต่ำก่อน

ความเป็นกรด ไวน์ทำจากองุ่นซึ่งเป็นผลไม้ ในผลไม้นั้นมีกรดเป็นส่วนประกอบ ทำให้ได้รสชาติที่สดชื่น ลองถามตัวเองก่อนว่าคุณชอบเครื่องดื่มที่มีรสจัดหรือมีความเปรี้ยวมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะเป็นตัวช่วยในการเลือกดื่มไวน์ที่เหมาะกับคุณมากที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์มักจะไม่ชอบไวน์ที่มีความเป็นกรดหรือมีรสเปรี้ยวมากนัก

ไวน์ 3 ตัวที่เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์

  1. Prosecco

เป็นไวน์แบบ sparkling wine หรือไวน์ซ่าที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Glera โดยจะเป็นไวน์ขาวที่มีฟองฟู่ข้างใน มีรสผลไม้ชัดเจนและมีความหวานเล็กน้อย พร้อมกับรสชาติที่สดชื่นขององุ่นเขียวและองุ่น ยิ่งไปกว่านั้น Prosecco ไม่มีแทนนินและมีความเป็นกรดต่ำ

  1. Chardonnay

Chardonnay เป็นชื่อองุ่นขาวและไวน์ที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ดังกล่าว โดยไวน์ที่ทำจากองุ่น Chardonnay จะมีรสแอปเปิ้ลและลูกแพร์ พร้อมกับกลิ่นเนย ขนมปังปิ้งและต้นโอ๊ก ปกติแล้ว Chardonnay จะมีรสฝาด ไม่ค่อยออกหวานเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังมีกลิ่นผลไม้ ไม่มีแทนนินเพราะว่าเป็นไวน์ขาว

  1. Pinot Noir

Pinot Noir เป็นไวน์แดงที่ได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ เพราะมีรสชาติเบา มีแทนนินต่ำพร้อมกับรสชาติของเบอร์รี่และเชอร์รี่ ถึงแม้ว่าจะมีรสชาติออกฝาด ไม่ได้หวานมากนัก ไวน์ตัวนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบไวน์ขาวแต่อยากลองดื่มไวน์แดงดูบ้าง

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะลิ้มลองไวน์รสชาติแสนอร่อย แต่ยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องไวน์และและไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนเพื่อที่ได้ลองทานไวน์ที่เหมาะกับคุณมากที่สุด ก็ควรจะเริ่มจากไวน์ที่มีรสชาติอ่อนๆ และมีรสหวานของผลไม้ชัด พอชินแล้ว จึงค่อยลองไวน์ที่มีรสชาติฝาดขึ้น รับรองว่าคุณจะค่อย ๆ หลงรักไวน์โดยไม่รู้ตัว