Category Archives: รีวิวไวน์

ไขก๊อกความหรูหรา: สำรวจไวน์ขวดที่แพงที่สุดในโลก

ไวน์เกี่ยวข้องกับความหรูหราและความมั่งคั่งมาช้านาน และนักสะสมทั่วโลกก็เต็มใจที่จะจ่ายราคาแพงเกินไปสำหรับขวดที่มีค่าที่สุด ตั้งแต่เหล้าองุ่นหายากไปจนถึงโรงบ่มไวน์ในตำนาน โลกของไวน์ระดับไฮเอนด์ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีสิทธิพิเศษเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถจ่ายได้ ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกอาณาจักรแห่งความฟุ่มเฟือยและเปิดเผยเรื่องราวเบื้องหลังขวดไวน์ที่แพงที่สุดในโลก

Domaine de la Romanee-Conti Romanee-Conti Grand Cru

หนึ่งในไวน์ที่แพงที่สุดอันดับหนึ่งคือ Domaine de la Romanee-Conti Romanee-Conti Grand Cru จากเบอร์กันดี ประเทศฝรั่งเศส Pinot Noir ในตำนานนี้ผลิตในจำนวนจำกัด พร้อมป้ายราคาที่สูงถึงระดับดาราศาสตร์ในการประมูล ความพิเศษเฉพาะตัว ผสมผสานกับรสชาติที่โดดเด่นและศักยภาพในการบ่ม ทำให้ไวน์อยู่ในกลุ่มของตัวเองสำหรับผู้ชื่นชอบไวน์ที่แสวงหาความดื่มด่ำขั้นสูงสุด

Chateau Lafite Rothschild

ชื่ออันเป็นที่เคารพในโลกของไวน์บอร์โดซ์ เหล้าองุ่นของ Chateau Lafite Rothschild ได้รับการยกย่องจากนานาชาติและมีมูลค่ามหาศาล ด้วยประวัติศาสตร์ที่ย้อนไปหลายศตวรรษ ไวน์ที่ใช้ Cabernet Sauvignon โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปีพิเศษต่างๆ มีราคาอันน่าประทับใจในการประมูลและการขายส่วนตัว

Screaming Eagle Cabernet Sauvignon

Screaming Eagle Cabernet Sauvignon มาจาก Napa Valley, California เป็นอัญมณีที่แท้จริงสำหรับนักสะสม การผลิตประจำปีที่จำกัด ประกอบกับคุณภาพ ชื่อเสียง และความต้องการที่สูงมาก ส่งผลให้ขวดที่สามารถประมูลได้มูลค่ามหาศาล

Penfolds Grange Hermitage

Penfolds Grange Hermitage ของออสเตรเลียถือเป็นหนึ่งในไวน์ที่แพงที่สุดในโลก ไวน์ที่ผลิตขึ้นจากชีราซอันเป็นสัญลักษณ์นี้มีประวัติอันโด่งดัง โดยไวน์รุ่นเก่าบางรุ่นกลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่เป็นที่ต้องการอย่างมากในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบและนักสะสม

Domaine Leroy Musigny Grand Cru

Domaine Leroy Musigny Grand Cru ซึ่งเป็นไวน์เบอร์กันดีที่น่าเย้ายวนอีกชนิดหนึ่ง เป็นไวน์ปิโนต์นัวร์ที่ผู้หลงใหลในไวน์ชื่นชอบ ขึ้นชื่อในด้านการผลิตที่พิถีพิถันและความเชี่ยวชาญของผู้ผลิตไวน์ Lalou Bize-Leroy ไวน์นี้ยืนหยัดท่ามกลางไวน์ชั้นดีและแพงที่สุดในโลก

Petrus

จากแคว้น Pomerol ในเมือง Bordeaux ประเทศฝรั่งเศส พบกับ Petrus ซึ่งเป็นไวน์ที่มีความโดดเด่นของ Merlot ซึ่งมีความหมายถึงความหรูหรา ความหายากประกอบกับคุณภาพที่สูงสม่ำเสมอทำให้มั่นใจได้ว่าจะยังคงเป็นสมบัติล้ำค่าในห้องเก็บไวน์สุดพิเศษ

Masseto

Masseto ไวน์ Super Tuscan ยอดนิยมจากอิตาลี ได้รับชื่อเสียงในด้านความเป็นเลิศและราคาที่ไม่ธรรมดา ผลิตในปริมาณที่จำกัดจากองุ่น Merlot ดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบไวน์ด้วยความมั่งคั่งและรสชาติที่ลุ่มลึก

Domaine Georges และ Christophe Roumier Musigny Grand Cru

    สมบัติเบอร์กันดีชิ้นนี้ทำจากองุ่นปิโนต์นัวร์ โดดเด่นด้วยความประณีตและความสง่างาม ความขาดแคลนและชื่อเสียงอันไร้ที่ติทำให้ไวน์เป็นหนึ่งในไวน์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก

    การลงทุนและความสุข

    แม้ว่าไวน์ขวดเหล่านี้จะมีราคาสูงลิ่ว แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการอุทธรณ์ของพวกเขามีมากกว่าศักยภาพในการลงทุน สำหรับนักสะสมและผู้ที่ชื่นชอบไวน์จำนวนมาก ความสุขจากการได้ลิ้มลองและแบ่งปันไวน์ชั้นเลิศเหล่านี้คือรางวัลสูงสุด ทำให้พวกเขามีเสน่ห์ยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่หลงใหลในองุ่น

    สรุป: จุดสุดยอดแห่งศักดิ์ศรีแห่ง Vinous

    โลกของไวน์ที่แพงที่สุดเป็นดินแดนที่รสชาติ ประวัติศาสตร์ ความหายาก และความเฉพาะตัวมาบรรจบกัน ทำให้เกิดภาพสะท้อนของความหรูหราที่หาตัวจับยาก ขวดเหล่านี้เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าที่อยู่เหนือเครื่องดื่ม แสดงออกถึงศิลปะการผลิตไวน์ที่ดีที่สุด และเป็นตัวแทนจุดสูงสุดของศักดิ์ศรีแห่งไวน์สำหรับผู้ที่โชคดีพอที่จะได้สัมผัสกับเสน่ห์ของพวกเขา

    ไวน์ขาวชั้นยอดสัญชาติอิตาเลียนที่สามารถทำให้โลกของคุณเปลี่ยนภายในพริบตา

    ทั่วมุมโลกมีไวน์ขาวอยู่มากมายหลากหลายชนิด ที่สามารถเป็นเครื่องดื่มดับกระหายให้กับคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่นิยมชมชอบบรรยากาศการดื่มด่ำอาหารมื้อโปรดไปพร้อมกับการจิบไวน์รสเลิศ ดังนั้นในบทความนี้จะแนะนำไวน์ขาวจากอิตาลี ชั้นยอดที่คัดสรรมาให้คุณได้พิจารณา รับรองว่าต้องเป็นไวน์ระดับดีเยี่ยมที่ควรค่าแก่การลิ้มลอง

    6 ไวน์ขาวอิตาเลียน จากองุ่นพันธุ์พื้นเมืองสู่ไวน์ระดับไฮเอนด์

       ประเทศอิตาลีมีองุ่นพันธุ์พื้นเมืองเกิดขึ้นมากมาย จึงทำให้มีไวน์เกิดขึ้นมากตามไปด้วย และอิตาลีก็มีการพัฒนาไวน์ที่โดดเด่นกว่าแหล่งผลิตอื่น ๆ บนโลก สำหรับ 6 ไวน์ขาวจากอิตาลีที่จะแนะนำ มีดังต่อไปนี้

    1. Fruliano (ฟรูเลียโน) มีหลายคนเชื่อว่าองุ่นพันธุ์ฟรูเลียโน มีถิ่นกำเนิดอยู่ใน Friuli แต่มีผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาด้านพันธุ์องุ่นและความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในเขต Gironde ของฝรั่งเศส สำหรับรสและกลิ่นของฟรูเลียโนนั้น สิ่งแรกที่นักชิมจะสัมผัสได้นั่นก็คือ “กลิ่น” เป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของคุณได้เป็นอย่างดี ด้วยความอ่อนละมุนของดอกมะลิ, นาร์ซิสซัส, มะเดื่อแห้ง, ผิวส้มและแอปเปิลเขียว แอบซ่อนไว้ด้วยกลิ่นของธรรมชาติอย่างก้อนหินและเกลือทะเล ไวน์ฟรูเลียโนจะเข้ากันดีกับ Prosciutto San Danielle, ปลาคอตหรือปลาฮาลิบัตย่าง
    2. Soave (โซอาเว่) เป็นไวน์รสหวาน มีการบันทึกไว้ว่าไวน์โซอาเว่ได้สูญหายไปพร้อมกับการล่มสลายของจักรรรดิโรมัน จนได้มีการค้นพบอีกครั้งในอีก 1500 ปีต่อมา ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นไวน์ขาวอิตาเลียนที่น่าพิสมัยมากชนิดหนึ่ง หากเปรียบสุภาพบุรุษกับไวน์โซอาเว่แล้วนั้น คงจะนิยามได้ถึงความมีเสน่ห์ มั่นใจ และสง่างาม ที่แฝงด้วยความอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตนในแบบที่ผู้ชายพึงมี หากได้ลิ้มลองคู่กับเนื้อลูกวัวย่างรสชาติจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี
    3.  Timorasso (ทิโมรัสโซ) ไวน์องุ่นขาวของอิตาเลียน เกิดจากองุ่นที่ปลูกในแถบภูมิภาค Piedmont ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี มันถูกใช้เพื่อทำไวน์อะโรมาติกที่มีคุณภาพสูง กลิ่นของไวน์ทิโมรัสโซจะให้ความรู้สึกถึงกลิ่นของแอปเปิ้ล, น้ำผึ้งอะคาเซีย, แร่ธาตุ, สมุนไรพแห้งและเลม่อนแช่อิ่ม การได้ลิ้มรสไวน์ทิโมรัสโซกับเนื้อลูกวัวผัดกับเห็ดป่า หรือราวีโอลี่ไก่ฟ้าย่าง อาจจะทำให้คุณลืมไม่ลงเลยทีเดียว
    4. Verdicchio (เวอดิคคิโอ) องุ่นสีเขียวที่ถูกนำมาผลิตเป็นไวน์ในชื่อเดียวกัน กลิ่นและรสชาติของไวน์เวอดิคคิโอจะมีกลิ่นของมะนาว, กีวี่, หญ้าสด, มะละกอดิบและผักชี ในปัจจุบันจะสามารถพบไวน์เวอดิคคิโอในหลายระดับราคาตามคุณภาพของรสชาติ เหมาะกับการดื่มคู่กับอาหารโซนเอเชียที่มีรสชาติเผ็ดร้อน และของทอดทุกชนิด
    5. Greco di Tufo (เกรโก ดิ ทูโฟ) เป็นไวน์อิตาเลียนที่ถูกเรียกว่าไวน์ “สไตล์กรีก” เพราะเนื่องจากมีรสหวานนำ กลิ่นที่อยู่ในตัวไวน์คือ ไวท์ บอสซัม, แอปริคอตแห้งและกลิ่นหอมของดินเผา จะให้รสฝาดตอนจิบแรก หลังจากนั้นจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นของทาร์ตแอปเปิลเขียวบนครีมตลบอบอวลอยู่ในปาก หากได้กินคู่กับ Mozzarella di bufala กับมะเขือเทศ หรือปลาย่างมะนาวและน้ำมันมะกอก รสชาติจะเข้ากันได้ดี
    6. Etna Bianco (แอทน่า เบียนโก) ไวน์ที่ผลิตจากองุ่นพันธุ์พื้นเมืองของอิตาลี กลิ่นและรสชาติมีความซับซ้อนหลากหลาย การได้ดื่มไวน์ชนิดนี้กับทูน่า คาร์ปาซิโอ, ไก่ย่างสมุนไพร จะทำให้คุณค้นพบมื้ออาหารที่ตราตรึงใจไม่น้อย

    ไวน์ขาวทั้ง 6 แบบที่ได้แนะนำไปนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของไวน์อิตาเลียนที่คุณสามารถลิ้มลองรสชาติกันได้ ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการดื่มไวน์ คุณก็ไม่ควรพลาดไวน์ที่ได้แนะนำไว้ ใครจะรู้ว่า…คุณอาจจะลืมไวน์แดงแก้วโปรดของคุณไปเลยก็เป็นได้

    Malagousia หัวใจหลักของไวน์ขาวที่เกือบสูญพันธุ์

    “มาลากูเซีย” (Malagousia) เป็นองุ่นขาวสายพันธุ์กรีกที่ใช้ผลิตไวน์ขาว ที่ถูกเรียกขานว่าเป็น “หัวใจหลักของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาสมัยใหม่แห่งการผลิตไวน์ในกรีซ” เนื่องจากเพิ่งมีการพบเห็นการใช้มาลากูเซีย เพียงในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ผลิตไวน์ในกรีซได้ค้นพบความสามารถในการผลิตไวน์มาลากูเซียของพวกเขาอีกครั้ง เพราะในปี 1970 มาลากูเซียเป็นองุ่นพันธุ์สีขาวที่มีคนรู้จักน้อยมาก จนหลาย ๆ คน คิดว่าองุ่นพันธุ์นี้ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ยังมีการวิจัยโดยอาจารย์มหาวิทยาลัย ร่วมมือกับผู้ผลิตองุ่นชั้นแนวหน้า ทำให้มาลากูเซียกลายเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ว่าเป็นองุ่นชั้นนำระดับโลก เมื่อนำไปผลิตเป็นไวน์ขาว หรือ White Wine ก็มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ที่ตราตรึงใจ

    กลิ่นอายและรสสัมผัสจากดินแดน AetoliaAcarnania

    เมื่อมาลากูเซียได้กลายมาเป็นไวน์ จะมีลักษณะสีเขียวมะนาวที่ซีดและใส แต่กลิ่นของไวน์นั้นจะโดดเด่นเข้มข้นจนจมูกสามารถรับรู้กลิ่นอายของมาลากูเซียได้ตั้งแต่เปิดขวด กลิ่นที่คุณได้สัมผัสในโสตประสาทนั้น เริ่มจากกลิ่นของลูกพีช, พริกหยวกสีเขียว, ใบโหระพา รวมถึงกลิ่นของดอกไม้นานาพันธุ์ที่แขวนไว้บนเพดาน แต่ยังให้กลิ่นสดชื่นอยู่เสมอ พร้อมแอลกอฮอล์ในระดับปานกลาง ความหวานของไวน์มาลากูเซียนั้นเกิดจากองุ่นที่ถูกเก็บเกี่ยวในช่วงปลาย เนื่องจากตัวของผลองุ่นจะมีความแน่นและมีกลิ่นหอมมากขึ้น และเป็นเรื่องแปลกที่มาลากูเซียใช้เวลา 4 ปีก็สามารถให้รสชาติที่หอมหวานได้แล้ว ในขณะที่ไวน์หวานชนิดอื่น ๆ ต้องใช้เวลาสี่ถึงเจ็ดปีถึงจะได้รสชาติที่ถูกใจนักชิม

    มาลากูเซียเป็นองุ่นที่เชื่อว่ามีต้นกำเนิดมาจากทางตะวันตกของกรีซตอนกลาง (Aetolia-Acarnania) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับการผลิตไวน์หวาน การปลูกพืชสมัยใหม่ในปัจจุบัน มีผู้คนหันมาปลูกมาลากูเซียในพื้นที่กันเป็นส่วนใหญ่ของกรีซ

    Malagousia จับคู่กับอาหาร ช่วยเพิ่มรสชาติให้มื้ออาหารน่าประทับใจไม่รู้ลืม

    มาลากูเซีย เป็นไวน์ขาวที่มีรสชาติติดหวานตรงปลายลิ้นเมื่อคุณได้ลองจิบ ก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือในขณะเล่นเกมกับ Fun88 ก็จะทำให้อาหารในมื้อนั้นมีรสชาติที่ประทับใจคุณอย่างแน่นอน สำหรับอาหารที่เหมาะกับการกินร่วมกับมาลากูเซียนั้น มีหลายชนิด อย่างเช่น อาหารประเภทซีฟู้ด, สลักผักหลายหลายชนิด, พาสต้า, อาหารที่มีรสจัด, ชีส รวมไปถึงไวน์ก่อนอาหารด้วย

    Malagousia เป็นไวน์ วาไรตี้ ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างกว้างขวางทั่วโลก เป็นตัวอย่างไวน์ขาวชั้นยอด ที่มีกลิ่นหอมอัดแน่นไปด้วยความมีชีวิตชีวาและความซับซ้อนไปด้วยกัน หากคุณดื่มมาลากูเซียควบคู่ไปกับสลัดผักและอาร์ติโชค ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “นักฆ่าไวน์” คุณจะค้นพบความมหัศจรรย์ว่านักฆ่าไวน์ไม่สามารถดับรสความกลมกล่อมของมาลากูเซียได้เลย นอกจากนี้มาลากูเซียยังมักถูกจับคู่อย่างพิถีพิถันให้เข้ากับรสชาติของผลไม้ในมื้อของหวานอีกด้วย

    Sparkling Wines เครื่องดื่มที่สร้างสีสันในวันเฉลิมฉลองของคนทั่วโลก

    หากคุณเคยมีประสบการณ์การเข้าร่วมเฉลิมฉลองในงานสำคัญหรือเทศกาลใดเทศกาลหนึ่ง อย่างเช่นการขึ้นรับถ้วยรางวัลของนักกีฬาในรายการใหญ่ ๆ คุณคงจะเคยเห็นคนเหล่านั้น เปิดขวดเครื่องดื่มเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงการฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ซึ่งสิ่งที่เราจะพูดถึงในบทความนี้ นั้นก็คือสิ่งที่พวกเขายกขวดมันขึ้นเขย่าก่อนเปิดให้มันพุ่งออกมาในอากาศ แล้วกระดกขวดมันดื่มอย่างชื่นมื่น แน่นอนว่าเจ้าสิ่งนั้นก็คือ “Sparkling Wines”

    Sparkling Wines หรือเรียกให้คุ้นหูว่า “แชมเปญ” เป็นไวน์ที่มีรสชาติอร่อยและเรียกชีวิตชีวาให้กับผู้ดื่มได้เป็นอย่างดี Sparkling Wines จะมีฟองและประกายที่เกิดจากคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก ซึ่งเครื่องดื่มชนิดนี้ได้รับความนิยมอยู่ในทุกส่วนของโลก จากรสชาติและความตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงเปิดขวด

    ต้นกำเนิด Sparkling Wines เกิดจากองุ่นสายพันธุ์ชั้นเยี่ยม

    วัตถุดิบสำคัญที่นำมาใช้ผลิต Sparkling Wines นั่นก็คือผลองุ่นแดง ซึ่งจะต้องเข้าสู่กระบวนการผลิตทันทีหลังจากเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้น้ำองุ่นสีขาวที่ผู้ผลิตจะเรียกว่า “สีขาวจากสีดำ” แต่ในขณะเดียวกัน Sparkling Wines บางชนิดก็สามารถผลิตจากองุ่นขาวเพื่อให้ได้ไวน์ที่ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “สีขาวจากสีขาว” ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อตัวขึ้นเป็นฟองในไวน์นั้น เกิดจากการกระบวนการหมักทั้งสิ้น ในการผลิต Sparkling Wines แต่ละครั้งจะมีกระบวนการหมักมากกว่าหนึ่งกระบวนการตามกรรมวิธีของแต่ละผู้ผลิตที่แตกต่างกันไปตามที่พวกเขาต้องการ

    สำหรับพันธุ์องุ่นที่ใช้ในการทำ Sparkling Wines ก็คือ ชาร์ดอนเน (Chardonnay), ปิโน นัวร์ (Pinot Noir), ปิโน เมอเนียร์ (Pinot Meunier), เชอนินบลังค์ (Chenin Blanc), มัวแซค บลังค์ (Mauzac Blanc), ซาแรล โล (Xarel lo), แพเรลลาดา (Parellada), แมคคาเบโอ (Maccabeo), รีสลิง (Riesling) และ มัซแคท (Muscat)

    ความนิยมของ Sparkling Wines ที่พบอยู่ในทุกมุมโลก จากรสชาติที่สร้างชีวิตชีวา

    Sparkling Wines มีรสชาติที่ละเอียดอ่อน ละมุนลิ้น และมักสร้างความสดชื่นมีชีวิตชีวาให้กับผู้ที่ได้ลิ้มลอง ดังนั้นเพื่อให้ได้ลักษณะที่สมบูรณ์ของรสชาติไวน์ที่กลมกล่อม จึงควรแช่เย็นประมาณ 3-4 ชั่วโมง ก่อนการเสิร์ฟอยู่เสมอ และโดยทั่วไปแล้วนั้น Sparkling Wines เหมาะสำหรับบรรยากาศในงานปาร์ตี้และงานเลี้ยง เสิร์ฟเคียงคู่สิ่งต่อไปนี้

    • เนื้อสัตว์ประเภทเนื้อไก่หรือ สเต็กสันในหมูและไก่งวง
    • ผลไม้จำพวกสตรอเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่และแบล็กเบอร์รี่
    • ชีส อย่างเช่น บรี(Brie),โพโวโลน (Provolone), ชีสนมแพะ (Goat cheese) และครีมชีส
    • อาหารทะเล เช่น หอยเชลล์, กุ้ง, ปลาแฮลิบัต

    สิ่งที่กล่าวมานี้เป็นอาหารที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับ Sparkling Wines

    สุดท้ายนี้ หากจะให้แนะนำ Sparkling Wines ที่ควรค่าแก่การลิ้มลองสักครั้งหนึ่งในชีวิต ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะแนะนำคุณให้รู้จักกับ โพแซ็กโก (Prosecco) ซึ่งเป็นไวน์เลื่องชื่อของอิตาลี และถูกจัดอันดับว่าเป็น “King of Sparkling Wines”

    Dessert Wines หมวดหมู่ของไวน์ที่พร้อมเสิร์ฟเคียงคู่ของหวานแสนอร่อย

    อาจจะฟังแล้วแปลกไม่น้อยกับหัวข้อไวน์ที่เสิร์ฟพร้อมขนมหวาน แต่ใครจะคาดคิดว่ามีไวน์บางชนิดที่เกิดมาเพื่อสร้างความสุขไปพร้อมกับการรับประทานขนมหวานไปด้วยก็ได้เหมือนกัน

    เสิร์ฟไวน์กับขนมหวาน ความละมุนที่ถูกใจคุณผู้หญิง

    Dessert Wines หรือ ไวน์ของหวาน โดยส่วนใหญ่จะเป็นไวน์ที่มีรสชาติหวาน มีปริมาณน้ำตาลสูงกว่าไวน์ที่เสิร์ฟบนโต๊ะอาหารปกติ ซึ่งปริมาณน้ำตาลที่คงอยู่จะมีตั้งแต่ 3-28 เปอร์เซ็นต์ Dessert Wines มีความหลากหลายประเภทแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ขององุ่นที่ใช้ในการผลิต ส่วนใหญ่มักจะเป็นองุ่นที่ได้ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เนื่องจากจะได้รักษาปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในผลองุ่นให้คงความหวานในตัวของไวน์ที่มีความเข้มข้นมากกว่าไวน์ทั่วไป เป็นที่ถูกใจสาว ๆ ที่หลงใหลในขนมหวานอย่างแน่นอน

    ไวน์ของหวานมีทั้งที่เป็นสีขาวและสีแดง สำหรับไวน์ของหวานสีขาวจะต้องแช่เย็นก่อนเสิร์ฟเสมอ ๆ แต่ในทางกลับกันไวน์ของหวานสีแดงมักเสิร์ฟในอุณหภูมิปกติ รสชาติของ Dessert Wines จะเข้ากันได้ดีกับขนมหวานและผลไม้สด

    Dessert Wines ส่วนใหญ่จะมีกลิ่นหอมที่เย้ายวนตามธรรมชาติของผลไม้ อย่างเช่น เปลือกส้ม, มะม่วง, แอปริคอท, มะตูม, มะเดื่อ, ลูกเกด, น้ำผึ้งหรือคาราเมล หากได้ลองลิ้มรส Dessert Wines ควบคู่ไปกับรสชาติของขนมหวาน จะรู้สึกได้ทันทีถึงความลงตัวของ Dessert Wines และกลิ่นเนย ครีมจากขนมหวาน ที่ทำให้คุณได้รสสัมผัสที่นุ่มนวลจนยากที่จะลืม

    Dessert Wines แบ่งได้เป็น 5 ประเภท ได้แก่

    1. Sparkling Dessert Wine หรือแชมเปญ ไวน์ที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และความเป็นกรดสูง จึงเกิดเป็นรสหวานที่ตราตรึงใจใครหลาย ๆ คน และความมหัศจรรย์อีกหนึ่งอย่างของแชมเปญก็คือ กลิ่นความหอมหวานขององุ่นที่ลวงหลอกให้คุณคิดไปได้ว่ามันหวานมาก ตัวอย่างเช่น Demi-Sec จากฝรั่งเศส, Amabile จากอิตาลี และ Dulce จากสเปน เป็นต้น
    2. LightlySweet Dessert Wine ไวน์ที่มีรสหวานเล็กน้อย เหมาะสำหรับช่วงบ่ายที่อบอุ่น เช่น Gewürztramine ไวน์ที่ส่งกลิ่นหอมของลิ้นจี่และกลีบกุหลาบ เสิร์ฟพร้อมทาร์ตผลไม้จะได้รสชาติที่เข้ากันดีอย่างยอดเยี่ยม
    3. Richly Sweet Dessert Wine ไวน์ที่ผลิตจากองุ่นคุณภาพสูง ส่วนใหญ่จะมีอายุ 50 ปีขึ้นไป จะมีความหวานและความเป็นกรดที่ยังคงรักษาความสดใหม่เอาไว้ได้ดี อย่าง Tokaji ไวน์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของฮังการี
    4. Sweet Red Wine ในปัจจุบันอาจจะพบไวน์แดงที่มีราคาถูกมากมาย เพราะเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง แต่ไวน์ขนมหวานที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่จะมาจากอิตาลี ซึ่งจะใช้องุ่นสายพันธุ์เฉพาะและไม่อาจเปิดเผยได้
    5. Fortified Wine ไวน์ที่มีการเพิ่มในส่วนของบรั่นดีลงในไวน์ ซึ่งจะมีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่าไวน์ทั่วไป ประมาณ 17-20% ABV สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้นหลังจากเปิดขวด เช่น Ruby & Crusted Port ไวน์ที่มีรสชาติของมิ้นต์และความหวานอ่อน ๆ

    โดยส่วนใหญ่แล้ว Dessert Wines ที่มีชื่อเสียงมักจะผลิตจากประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี ทั้งนี้รสชาติจะมีความหลากหลายแตกต่างกันไปตามภูมิภาคที่ใช้ปลูกองุ่น รวมถึงกรรมวิธีการผลิต แต่สิ่งที่คล้ายกันของ Dessert Wines ก็คือจะมีรสหวานที่มากกว่าไวน์ประเภทอื่นจะสามารถรับรู้ได้โดยทันทีเมื่อต่อมรับรู้ในด้านกลิ่นหรือรสของคุณเปิดรับ Dessert Wines เข้าไปในร่างกาย

    Fino หนึ่งในเชอร์รี่ไวน์ที่ความสุขให้นักจิบหลงใหล

    หากพูดถึงไวน์ที่มีรสชาติไปในทางหวานละมุนลิ้น คงต้องมีคนนึกถึงไวน์ที่เรียกว่า “Fino” กันอย่างแน่นอน ไวน์ที่มีรสหวานละมุนควบคู่กับความดรายที่รับรู้ได้ เมื่อยิ่งเสิร์ฟคู่กับขนมทาร์ตและธัญพืชก็จะช่วยสร้างรสชาติที่ลืมคุณลืมไม่ลง

    Fino เป็นเชอร์รี่ไวน์ที่มีความดรายอยู่ในตัว ส่วนใหญ่ทำมาจากองุ่นพาโลมิโน ซึ่งมีการบ่มภายใต้ชั้นยีสต์ ที่ป้องกันการสัมผัสกับอากาศ ส่งผลให้ยีสต์มีความเค็มและมีกลิ่นของสมุนไพรในแถบเมดิเตอร์เรเนียน, แป้งสดและอัลมอนด์ ซึ่งการบ่ม Fino นั้นกฎหมายได้กำหนดไว้ว่าจะต้องบ่มอยู่ในถังไม้อย่างน้อย 2 ปี แต่โดยส่วนใหญ่ Fino ที่ดีนั้นจะมีอายุระหว่าง 4-7 ปี เมื่อกระบวนการหมักไวน์นั้นได้ที่ จะสามารถมองเห็นถึงความใสของชั้นฟลอร์และแร่ธาตุที่สังเกตได้ ในทางกลับกัน Fino ที่ยังมีอายุการบ่มน้อยกว่านั้นจะมีความซับซ้อนของรสชาติที่น้อยกว่า

    ไวน์ Fino ที่โด่งดังที่สุดจนนักจิบไวน์ไม่ควรพลาด

    ไวน์ Fino ที่มีชื่อเสียงในหมู่ผู้นิยมชมชอบการจิบไวน์คงจะรู้จักกันดี ดังนี้

    • Tio Pepe เป็นหนึ่งใน Fino ที่รู้จักกับดีในรูปแบบของไวน์เชอร์รี่ที่ทำมาจากองุ่นบาโลมิโน แบรนด์ Tio Pepe นี้ เป็นของ González Byass Sherry house ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไวน์รสชาติดีของสเปน
    • La Ina เป็น Fino ชั้นยอดของ Solera เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1919 มีชื่อเสียงตลอดมาในฐานะหนึ่งใน Finos ที่มีกลิ่นหอมและเข้มข้นที่สุดในบรรดา Finos ทั้งหมด มักจะมีอายุอยู่ในถังไม้โอ๊กเฉลี่ย 5 ปี
    • Inocente เป็นไวน์ Fino ระดับเรือธงของ Valdespino ที่ใช้กรรมวิธีดั้งเดิมในการผลิตตั้งแต่ปี 1894

    ความสามารถของ Fino ที่ทำให้นักชิมติดใจในรสชาติ

    เนื่องด้วยไวน์ Fino มีความสามารถพิเศษในการกระตุ้นต่อมรับรส ด้วยเหตุนี้จึงมักถูกน้ำมาเสิร์ฟเป็นเมนูเปิดการอาหาร เพื่อช่วยเสริมและกระตุ้นให้ผู้ลิ้มลองได้เพลินเพลินกับอาหารมากยิ่งขึ้น ด้วยความเป็นธรรมชาติของเชอร์รี่ไวน์ชนิดนี้จะช่วยเพิ่มรสชาติอาหารในมื้อนั้นให้ประทับใจคุณยิ่งขึ้นถ้าคุณได้ลองจิบ Fino สักหนึ่งแก้ว

    การเสิร์ฟ Fino ที่แช่เย็นจะเข้ากันดีกับปลา, อาหารทะเล, แฮม อิเบริโกหรือแซลมอนรมควัน หรืออะไรก็ตามที่มีมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบ เมื่อได้มาลิ้มลองคู่กับ Fino แล้วก็จะทำให้อาหารนั้นกลายเป็นการจับคู่ที่ดี แต่หากต้องการเสิร์ฟเป็นอาหารว่าง เรียกน้ำย่อยให้มื้อเย็น แบบคลาสสิก ก็ไม่ควรพลาดในการเสิร์ฟเคียงคู่กับมะกอก, แองโชวี่, ไข่นกกระทา หรือปาเต หรือแม้กระทั่งการจับคู่ของ Fino กับซาชิมิ ก็เป็นการเพิ่มรสชาติที่ยอดเยี่ยมและทำให้คุณได้ค้นพบถึงความหมายของคำว่าความพึงพอใจในรสชาติอาหารอย่างสมบูรณ์แบบจากเชอร์รี่ไวน์ที่เรียกว่า “Fino”

    Nero d’Avola ไวน์สีเข้มสะกดใจ สีสันจากเมือง Avola บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของซิซิลี

    เมื่อกล่าวถึงซิซิลี แน่นอนว่าคุณคงเห็นภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางภาคใต้ของประเทศอิตาลี หมู่เกาะที่มีประวัติยาวนานกว่า 4,000 ปี เป็นดินแดนที่มีวัฒนธรรมผสมผสานหลากหลาย พรั่งพร้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งทะเล ชายหาด ไปจนถึงภูเขา และยังคงความเป็นอิตาลีดังเดิมได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งซิซิลียังมีขุมทรัพย์มหัศจรรย์อีกชนิดหนึ่งนั่นก็คือ องุ่น Nero d’Avola  (เนอโอ ดา โวลา)

    Nero d’Avola องุ่นแดงที่สำคัญที่สุดของซิซิลี

    Nero d’Avola ถูกยกให้เป็นองุ่นที่มีความสำคัญที่สุดของซิซิลี และเป็นหนึ่งในองุ่นสายพันธุ์พื้นเมืองที่สำคัญที่สุดของอิตาลี ถูกตั้งชื่อตามชื่อของเมือง Avola ที่เป็นเมืองชายฝั่งทางตอนใต้ของซิซิลี สำหรับ Nero d’Avola แปลว่า “Black of Avola” ซึ่งมาจากสีของผลองุ่นที่เป็นสีเข้มอย่างเด่นชัด

    ในช่วงศตวรรษที่ 20 Nero d’Avola  ถูกใช้เพียงแค่เป็นส่วนผสมเล็กน้อย และไม่ค่อยพบเห็นชื่อปรากฏอยู่บนฉลากไวน์สักเท่าไร จนกระทั่งย่างเข้าศตวรรษที่ 21 อุตสาหกรรมไวน์องุ่นได้เจริญเติบโตเป็นอย่างมาก และก็สามารถพบเห็น Nero d’Avola ที่ถูกนำมาผลิตเป็นไวน์หลายชนิดจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา Nero d’Avola มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับไวน์ Syrah เพราะเป็นไวน์ที่ผลิตจากองุ่นที่มีแหล่งกำเนิดคล้าย ๆ กัน และมีลักษณะของกลิ่นและรสชาติคล้ายกันอีกด้วย

    กระบวนการผลิต Nero d’Avola  ที่เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติของไวน์

    ในขั้นตอนกระบวนการผลิต Nero d’Avola สามารถผลิตไวน์ที่มีรสชาติและสีแตกต่างกันไปตามระยะเวลาที่บ่มไว้ในถังไม้โอ๊คและอุณหภูมิที่พอเหมาะ สำหรับไวน์ที่มีอายุการบ่มน้อย จะให้ความรู้สึกถึงรสชาติของบ๊วยและผลไม้สีแดง ในขณะที่ไวน์ที่ถูกเก็บไว้นาน ๆ จะมีความซับซ้อนมากขึ้น จนสามารถรับรู้ได้ถึงรสช็อคโกแลตและราสเบอรี่เข้มข้น

    Nero d’Avola จะมีแทนนินสูง, มีกรดกลาง อย่างไรก็ตาม หากต้องการรสชาติที่กลมกล่อม ควรเก็บ Nero d’Avola ไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิเย็น จะสามารถรักษาระดับแอลกอฮอล์ให้คงอยู่ในรสชาติได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบันได้มีการทดลองปลูก Nero d’Avola ในออสเตรเลียและแคลิฟอร์เนียร์ และเพราะการมีสีสันที่สะดุดตาทำให้ในบางครั้ง Nero d’Avola ก็ถูกนำไปผลิตไวน์ Rosé อีกด้วย

    อาหารที่เข้ากันดีกับ Nero dAvola

    เนื่องจาก Nero d’Avola มีรสชาติของผลไม้ที่มีลักษณะของแทนนิน และกรดอยู่ด้วย ทำให้ Nero d’Avola เป็นไวน์ชั้นเยี่ยมที่เหมาะสมกับเนื้อสัตว์ ที่เน้นหนักไปทางเนื้ออย่างมาก

    การจับคู่อาหารแบบคลาสสิก อย่างเช่น ซุปหางวัวและสตูว์เนื้อ หรือบาร์บีคิว เบอร์เกอร์กับเบคอน ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้สัมผัสถึงรสชาติผลไม้ที่เหมือนกับได้อมลูกอมกลิ่นหอม ในส่วนของเครื่องเทศที่จะช่วยเสริมรสชาติให้ไวน์ Nero d’Avola ก็คือโป๊ยกั๊ก, เปลือกส้ม, ใบกระวาน, สาเก, ผงโกโก้, ซอสพลัมเอเชียและกาแฟ ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีเช่นกัน

    Pinot Grigio ต้นตำรับไวน์ขาวแห่งอิตาลี เมืองที่เต็มไปด้วย สถาปัตยกรรม เรื่องราวและผู้คน

    อิตาลี เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันโด่งดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหอเอนแห่งเมืองปิซ่า โคลอสเซียม และโบสถ์ซานเปโตรนีโอแถมยังเต็มไปด้วยเรื่องเล่าจากประวัติศาสตร์ และผู้คนที่มีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเองอีกด้วย แต่ความน่ารักของประเทศอิตาลียังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะนอกจากจะมีเรื่องราวมากมายและมีสถาปัตยกรรมสวยแล้ว ประเทศอีตาลี ยังเป็นแหล่งกำเนิดของไวน์ขาว หรือ White wine อันเลื่องชื่ออย่าง “ปิโนต์ กรีโจ” (Pinot Grigio) ด้วยล่ะ เชื่อว่าคนรักไวน์หลายคนคงไม่พลาดที่จะทำความรู้จักกับเจ้าไวน์ตัวนี้ แต่ประวัติความเป็นมาของ ปิโนต์ กรีโจจะเป็นอย่างไร และทำไมถึงได้ครองใจคนทั่วโลกได้นั้น เราจะไปหาคำตอบพร้อมกันในบนความนี้เลย

    ต้นกำเนิด Pinot Grigio ไร่องุ่นที่ใกล้เทือกเขาแอลป์ และตัดผ่านไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

    ย้อนกลับไปเมื่อ80 ปีก่อนท่านเคาท์ Gaetano Marzotto ได้ทำการเปลี่ยนที่รกร้างบริเวณใกล้กันกับเทือกเขาแอลป์ ให้กลายเป็นพื้นที่โล่งในบริเวณใกล้กันของเทือกเขาแอลป์นั้นยังมีแม่น้ำสายเล็กที่ตัดผ่านไปยังทะเลเมดิเตอร์เรนียน หลังจากทำให้พื้นที่บริเวณนี้โล่งเรียบร้อยแล้ว ในเวลาต่อมาเขาจึงได้พัฒนาให้พื้นที่นี้กลายเป็นพื้นที่สำหรับการทำไร่องุ่น โดยมีปณิธานว่าจะทำไวน์ที่มีรสชาติดั้งเดิมตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมันให้คนรักไวน์ได้ดื่ม และเพื่อรักษาไม่ให้การทำไวน์แบบโบร่ำโบราณหายไปจึงได้ก่อเกิดเป็นแบรนด์ไวน์ในเวลาต่อมา ที่เรารู้จักกันในชื่อ“Santa Margherita”ซึ่งเป็นชื่อภรรยาของเขานั่นเอง

    “ปิโนต์ กรีโจ”ได้ถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ.1960 โดยผู้ผลิตคนหนึ่งในแบรนด์ได้แรงบันดาลใจมาจาก Sparkling wine แบบดั้งเดิม เขาจึงได้นำสูตรไปดัดแปลง โดยการนำองุ่นสายพันธุ์ Pinot Gris ชนิดที่ยังอ่อนและเปลือกไม่แข็งมากมาคัด ก่อนจะนำไปหมักด้วยวิธีการไม่ให้สัมผัสกับพื้นผิวอากาศ และทำการบ่มไว้อย่างนั้นจนกว่าจะได้กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมีลักษณะหอมหวานคล้ายดอกไม้ ผสมกับกลิ่นแบบ Fruityโดยวิธีนี้ได้รับการดัดแปลงมาจากวิธี Romato ซึ่งเป็นวิธีการหมักไวน์ดั้งเดิมของอิตาลี

    Pinot Grigio ไวน์ขาวที่ไม่ว่าจะทานคู่กับอะไรก็อร่อย สร้างสีสันให้แก่การออกไปปิกนิก

    สีของปิโนต์ กรีโจ จะอ่อนใสอมเหลืองเล็กน้อย รสชาติหวานอมเปรี้ยว และมีกลิ่นที่เข้มข้นมาก ๆ หากจิบในครั้งแรกจะรู้สึกได้ถึงความดรายและทิ้งรสชาติคล้ายแอปเปิลไว้ที่ปลายลิ้น สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ปิโนต์ กรีโจ สามารถทานคู่ได้กับอาหารหลากหลายชนิดไม่ว่าจะของคาวหรือหวาน เช่น พาสต้า อาหารจานข้าว ชีส หรือซูเฟล่เป็นต้น

    เรียกได้ว่า “Pinot Grigio”เป็นไวน์ขาวชั้นเลิศที่มีเสน่ห์จากไวน์ยุคก่อนผสมผสานอยู่ในตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่ไวน์ขวดนี้จะโด่งดังไปทั่วโลก อีกทั้งใครหลายคนต่างก็รู้จักและให้การยอมรับ เหมาะสมกับการเป็นไวน์สัญชาติอิตาลี ไวน์ที่เติมเต็มให้ทุกโอกาสเปี่ยมไปด้วยความสุข สนุกสนาน และน่าจดจำเหมือนกับเมืองอันสวยงาม

    Koshu องุ่นสายพันธุ์ผสม แหล่งกำเนิดความพิถีพิถันแบบเอเชียที่เต็มไปด้วยความน่าค้นหา

    ประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศในฝันของใครหลายคน ที่ชีวิตนี้อยากจะไปเยือนสักครั้ง ที่ดินแดนอาทิตย์อุทัยนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร วัตนธรรม หรือประเพณี แต่ยังมีอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ที่หลาย ๆ ท่านยังไม่เคยได้ล่วงรู้นั่นก็คือ ที่นี่เป็นต้นกำเนิดพันธุ์องุ่นที่มีชื่อว่า “Koshu” องุ่นสายพันธุ์ลูกครึ่งระหว่างเอเชียและยุโรป ที่ผ่านการตัดต่อ DNA จนเป็นที่มาของไวน์ขาวรสชาติหอม มีความพิถีพิถัน และเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่น่าค้นหาแบบชนชาติเอเชีย

    ความร้อนและเย็นที่ไหลเวียนเปลี่ยนผ่าน ทำให้สายพันธุ์องุ่น Koshu มีลักษณะที่โดดเด่น ไม่เหมือนใคร

    จุดเริ่มต้นขององุ่นสายพันธุ์ Koshu เริ่มมาจากชาวสวนคนหนึ่งในจังหวัดยามานาชิ ประเทศญี่ปุ่น เขาได้อาศัยอยู่ทางตอนบนของจังหวัด และได้นำสปีชีส์ขององุ่นในสายพันธุ์ยุโรปมาผสมผสานกับองุ่นพันธุ์พื้นเมืองของญี่ปุ่นหลังจากตัดต่อพันธุกรรมแล้วเลยลองนำมาเพาะปลูกในบริเวณไร่ของตนเอง แต่เนื่องจากในจังหวัดยามานาชิ รวมไปถึงพื้นที่บริเวณนั้นมีฤดูที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอด หากเข้าหน้าร้อนก็จะร้อนสุด ๆ และหากหนาว ก็จะหนาวจนเย็นยะเยือกเช่นกัน ทำให้เขาเกิดเป็นกังวลว่าองุ่นสายพันธุ์ที่ทำขึ้นใหม่นี้จะสามารถเติบโตได้หรือไม่ หากแต่ในเวลาต่อมาก็ได้ทราบว่า อากาศที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวนั้นคือหัวใจสำคัญเชียวล่ะ เพราะเจ้าองุ่นสายพันธุ์ Koshu ต้องอาศัยอากาศทั้งร้อนและเย็นในการเติบโตและด้วยเหตุปัจจัยนี้จึงทำให้รสชาติของมันเปลี่ยนไปด้วยโดยปริยาย แตกต่างจากรสชาติองุ่นหลาย ๆ สายพันธุ์ในยุโรปที่มักจะหนาวเสียเป็นส่วนใหญ่

    อย่างไรก็ดี การจะทำให้ Koshu ออกมามีรสชาติอร่อย เติบโตเต็มต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมต้องผ่านการดูแลที่พิถิพิถันแน่นอน ซึ่งเริ่มตั้งแต่การปลูกองุ่น Koshuคนที่นี่จะปลูกองุ่นเป็นลักษณะไม้เลื้อยขึ้นเป็นโดม ป้องกันไม่ให้ผลผลิตบอบช้ำ และกิ่งก้านแตกหักยามเข้าสู่ฤดูฝน อีกทั้งตอนเก็บเกี่ยวผลผลิต ก็จะใช้การตัดกิ่งในแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ทำให้ตัวองุ่นคงความสดใหม่ เหมือนกับอยู่บนต้นเช่นเดิม

    Koshuหัวใจของ White wineที่เติมเต็มสัมผัสใหม่ให้กับคนรักไวน์ได้ลิ้มลอง

    อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วด้านต้น ว่าองุ่น Koshu เป็นสายพันธุ์องุ่นที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์ทางยุโรปและเอเชีย ประกอบกับการเลี้ยงดูด้วยสภาพอากาศที่แตกต่างไปจากไวน์ฉบับดั้งเดิมจึงยิ่งเสริมให้องุ่นพันธุ์นี้มีความพิเศษมากมายในตัวของมันเองไม่ว่าจะเป็น ตัวผลที่จะมีลักษณะเล็ก แต่เป็นสีอ่อน ๆ ซีด ๆ เปลือกด้านนอกจะแข็ง แต่ข้างในกลับนิ่ม หากเด็ดกินเปล่า ๆ ไม่ต้องนำไปบ่มไวน์ จะสัมผัสได้ถึงความกรุบกรอบเล็กน้อยตอนเคี้ยวในปาก อธิบายลักษณะเด่นของรสชาติได้ยาก มีความหอมโดดแบบยุโรป แต่ในเวลาเดียวกันก็มีความกลมกลืนเป็นธรรมชาติแบบองุ่นเอเชีย

    จุดเริ่มต้นที่ทำให้ Koshu ถูกพัฒนามาเป็นไวน์ขาว นั่นก็เพราะบริษัททำไวน์บริษัทหนึ่งในจังหวัดยามานาชิ ได้ส่งลูกของเขาสองคนไปเรียนการทำไวน์ที่ฝรั่งเศส เมื่อกลับมาบุคคลทั้งสองนั้นจึงกระตือรือร้นในการทำไวน์ญี่ปุ่นมาก จึงได้นำ Koshu เข้าสู่กระบวนการพัฒนา จนค่อย ๆ มีชื่อเสียงมากขึ้นและกลายเป็นไวน์ขาวอันโด่งดัง เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์แบบเอเชียให้เราได้ลิ้มรสกันในทุกวันนี้

    นอกเหนือจากนี้ Koshu ยังเหมาะที่จะดื่มคู่กับเมนูอาหารต้นตำรับของญี่ปุ่นทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ซูชิ เทมปุระ หรือราเม็น เพราะจะทำให้รสชาติอาหารพวกนั้นเพิ่มความจัดจ้านมากขึ้น หรือหากคุณสนใจที่อยากจะทานคู่กับอาหารประเภทอื่นก็ได้เช่นกัน แต่ขอแนะนำว่าไม่ควรเป็นอาหารรสจัด ควรจะเป็นสลัดผัก ไม่ก็เนื้อย่างที่ไม่ผ่านการปรุงจะดีที่สุด

    พลิกโฉมหน้าไวน์ในประวัติศาสตร์ Screaming Eagle ไวน์ที่มีผู้คนหมายมาดอยากครอบครองที่สุดในโลก

    “Screaming Eagle”เป็นหนึ่งไวน์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการของนักสะสมเป็นอย่างมาก โดยการเปิดประมูลไวน์ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา Screaming Eagle ถูกขายในราคากว่าครึ่งล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าการประมูลในครั้งนี้จะพลิกความสำคัญให้กับเจ้าไวน์ตัวนี้เพิ่มขึ้นไปอีก จนผู้คร่ำหวอดในวงการไวน์หลายคนในสหรัฐอเมริกากล้าการันตีว่า Screaming Eagle กลายเป็นไวน์อีกหนึ่งขวดที่นักสะสมไวน์อยากจะได้ไว้ในครอบครอง

    ทำไม Screaming Eagle ถึงกลายเป็นไวน์ระดับแถวหน้า ที่มีผู้ต้องการอยากครอบครองมากที่สุด

    Screaming Eagle เป็นไวน์อีกหนึ่งขวดที่ถือกำเนิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ภายใต้อาณาบริเวณของ Napa Valley ไร่องุ่นกาแบร์แน โซวีญงที่มีคุณภาพที่สุดในอเมริกา แต่อย่างไรก็ดี นั่นเป็นข้อมูลทั่วไปที่นักสะสมต่างก็รับรู้กันอยู่ก่อนแล้ว หากแต่สิ่งที่พวกเขาอยากรู้จริง ๆ นั่นก็คือเหตุผลอะไรที่ทำให้ไวน์ขวดนี้กลายเป็นไวน์ที่ไต่มาอยู่ระดับแถวหน้าของวงการ แถมยังเป็นที่ต้องการเสียเหลือเกิน ซึ่งเหตุผลแน่ชัดนั้นมีคนได้ให้การไว้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การได้Gislason ผู้ที่ได้แชมป์ในการประกวดไวน์ในเวลานั้นมาเป็นผู้ให้คำปรึกษาในการทำไวน์ขวดนี้ หรือแม้แต่อากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในไร่องุ่น ณ เวลานั้น ที่ทำให้องุ่นเย็นจัดจนส่งผลต่อรสชาติของไวน์ และอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญมากนั้นก็คือ มันมีจำนวนที่น้อยมาก น้อยในขนาดที่จนทุกวันนี้ก็ไม่ทราบจำนวนที่แท้จริงว่าเหลือเท่าไหร่กันแน่ โดยไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอย่างใดหรือในข้อไหนก็ตามมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะตอนนี้ Screaming Eagle ขึ้นแท่นเป็นไวน์รสชาติเยี่ยมที่ผู้ได้ลิ้มลองทุกคนต่างก็ต้องยกนิ้ว และกลายเป็นไวน์แดงแถวหน้าที่มีผู้ที่อยากจะได้ไว้ในครอบครองมากที่สุดแล้ว

    แนวโน้มความเติบโตของ Screaming Eagle ไวน์ที่พลิกบทบาทตัวเองขึ้นมาเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์

    ณ ตอนนี้หากพูดถึง Screaming Eagle ก็คงไม่มีคนรักไวน์คนไหนไม่รู้จัก เพราะมันได้พาชื่อเสียงของตัวเองไปแขวนเอาไว้บนหน้าหนึ่งของราคาไวน์ที่แพงที่สุดในสหรัฐอเมริกาและยิ่งวันเวลาผ่านไป ไวน์ชื่อนี้ก็ยิ่งโด่งดังมากขึ้นด้วย เช่นเดียวกันกับรสชาติอันร้ายกาจของมัน ที่เมื่อยิ่งผ่านกาลเวลาก็ยิ่งเพิ่มความเข้มข้นของรสชาติเข้าไปอีก ซึ่งเราคงไม่ต้องสงสัยกันให้เหนื่อยเปล่าว่าแนวโน้มของไวน์ขวดนี้จะไปจบลงที่ไหน เพราะการหมักบ่มอันยาวนาน ประกอบการเลือกใช้องุ่นที่ได้คุณภาพสูงจากไร่องุ่นชั้นนำยิ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ไวน์ขวดนี้เป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งไวน์ขวดนี้ยังมีเรื่องเล่าตลกร้ายชนิดที่ว่าทำเอาคนรักไวน์ต้องเบ้หน้า เพราะเมื่อหลายปีที่ผ่านมามี Screaming Eagle ขวดหนึ่งแตกสลายหายไปจากโลกเสียแล้ว และอีกขวดหนึ่งก็โดนโจรปริศนาขโมยไป จวบจนตอนนี้ยังหาร่องรอยไม่ได้เลยว่าไปอยู่ที่ไหนกันแน่

    และทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ไวน์ “Screaming Eagle”กลายเป็นไวน์ที่พาตัวเองขึ้นมาอยู่แถวหน้าประวัติศาสตร์ของวงการไวน์ได้อย่างรวดเร็ว ผู้ที่ได้ลิ้มรสในรสชาติของไวน์ขวดนี้ต่างก็พากันวาดฝันว่าอยากจะครอบครองมันเป็นของตัวเอง และมีอีกหลายคนที่แม้ไม่ได้ลิ้มรสก็อยากจะครอบครองเสียจนให้เอาอะไรมาแลกก็ยอม มันจึงกลายเป็นไวน์ที่ใครหลายคนอยากได้มาเป็นของตัวเองมากที่สุดในโลกแล้ว ณ เวลานี้