Tag Archives: ไวน์โลกเก่า

ไวน์โลกเก่าหรือไวน์โลกใหม่ แบบไหนที่ควรเลือกดื่ม

ความแตกต่างระหว่างไวน์โลกเก่ากับไวน์โลกใหม่มักจะถูกเข้าใจผิดกันบ่อย ๆ หรือไม่ค่อยเข้าใจว่าไวน์สองชนิดนี้แตกต่างกันอย่างไร หากคุณเรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของไวน์โลกเก่าและไวน์โลกใหม่ ก็จะช่วยให้คุณเลือกดื่มไวน์ที่เหมาะกับความชอบของตนเองได้ดียิ่งขึ้น เราจึงจะมาช่วยอธิบายความแตกต่างดังกล่าวให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ไวน์โลกเก่า VS. ไวน์โลกใหม่

ส่วนมากแล้วเราสามารถแยกความแตกต่างของไวน์โลกเก่าและไวน์โลกใหม่ได้อย่างง่าย ๆ ตามประเทศที่ผลิตไวน์ ประเทศที่ผลิตไวน์จะแบ่งออกเป็นสองทวีปด้วยกันก็คือยุโรปและตะวันออกกลาง โดยไวน์จากโลกเก่าจะเป็นไวน์ที่ผลิตจากประเทศแถบยุโรป นั่นก็คือฝรั่งเศส สเปน อิตาลี เยอรมัน โปรตุเกส ออสเตรีย กรีซ เลบานอน อิสราเอล โครเอเชีย จอร์เจีย โรมาเนีย ฮังการีและสวิตเซอร์แลนด์

หากดูจากลักษณะทางกายภาพไวน์จากโลกเก่าจะมีความเบา รสชาติไม่หวือหวาและมีแอลกอฮอล์ไม่มาก ซึ่งเกิดจากข้อจำกัดในกรรมวิธีการผลิต เพราะว่าการผลิตของไวน์ยุคเก่านั้นถูกจำกัดอย่างเคร่งครัด มีกฎที่ผู้ทำไวน์โลกเก่าจะต้องปฏิบัติตาม ตั้งแต่สายพันธุ์องุ่น ปัจจัยแวดล้อมในการปลูกองุ่นและการหมัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกทอดมามากกว่าหลายสิบปี (ในวงการการผลิตไวน์ ถึงแม้ว่าจะมีกรรมวิธีการผลิตที่เหมือนกัน องุ่นสายพันธุ์เดียวกัน แต่ผลิตกันคนละที่ รสชาติก็แตกต่างกันอย่างมากแล้ว) ซึ่งทำให้ไวน์ยุคเก่าเป็นไวน์ที่คลาสสิค เหมือนเป็นมรดกที่ตกทอดมาจากผู้คนในอดีต เป็นเสน่ห์ที่ถูกใจคอไวน์

ในขณะที่ไวน์จากยุคใหม่จะผลิตจากประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมมาก่อน รวมถึงสหรัฐอเมริกา และประเทศที่มีอากาศร้อนกว่าประเทศแถบยุโรป ทำให้ไวน์จากโลกใหม่มีความหนัก มีความเป็นกรดน้อยและมีรสชาติผลไม้เด่น อีกทั้งยังมีแอลกอฮอล์สูง โดยประเทศที่ผลิตไวน์โลกใหม่ก็จะมีสหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ อาร์เจนติน่า ชิลี ออสเตรเลียและอเมริกาใต้

โดยนักทำไวน์จากประเทศเหล่านี้เปรียบเสมือนนักทดลอง ที่คอยทดลองกรรมวิธีใหม่ ๆ นำมาใช้ร่วมกับวิธีการผลิตไวน์แบบยุคเก่า ทำให้ได้ไวน์ที่มีรสชาติดีและแปลกใหม่ สร้างสีสันให้กับวงการไวน์เป็นอย่างมาก

เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเป็นไวน์โลกเก่าหรือไวน์โลกใหม่ ต่างก็มีเอกลักษณ์และความโดดเด่นที่แตกต่างกันไป ไวน์โลกเก่าก็จะเต็มไปด้วยประวัติและความเป็นมาจากอดีต ทำให้ผู้ลิ้มลองสัมผัสได้ถึงความโรแมนติกและความคลาสสิคของการผลิตไวน์ ส่วนไวน์โลกใหม่ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความแปลกใหม่ รสชาติเข้มข้นซับซ้อน อีกทั้งยังมีราคาที่คุ้มค่ากับคุณภาพที่ได้รับอีกด้วย ดังนั้นสำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์ ควรจะลองชิมไวน์หลาย ๆ ตัว ทั้งโลกใหม่และโลกเก่า เพื่อที่จะได้รู้ว่าตัวเองชื่นชอบไวน์แบบไหนมากที่สุด แต่ทางเราแนะนำให้ดื่มทั้ง 2 แบบเลย จะทำให้คุณสนุกกับการดื่มไวน์มากยิ่งขึ้น

พามารู้จักไวน์โลกเก่า ความคลาสสิคที่น่าหลงใหล

หลาย ๆ ท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่าไวน์โลกเก่า (Old world Wine) และมีความสงสัยว่าไวน์ที่ถูกจัดอยู่ในชนิดนี้มีความพิเศษและแตกต่างจากไวน์ทั่วไปอย่างไร วันนี้เราจะมาอธิบายคร่าว ๆ เพื่อให้ทุกคนได้สนุกกับการดื่มไวน์มากยิ่งขึ้นกัน

ไวน์โลกเก่า ก็คือไวน์ที่มาจากประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป ที่เป็นดินแดนที่มีการริเริ่มผลิตไวน์มายาวนานมากกว่าพื้นที่ใด ๆ ในโลก จึงทำให้ไวน์ที่ผลิตจากพื้นที่นี้ถูกเรียกว่าไวน์ยุคเก่า ซึ่งในแต่ละประเทศเขาก็จะมีกฎในการผลิตไวน์แบบดั้งเดิมเป็นของตัวเอง เริ่มตั้งแต่การเลือกสายพันธุ์องุ่น พื้นที่สำหรับเก็บองุ่นและจำนวนแอลกอฮอล์ขั้นต่ำที่จะได้หลังจากการบ่มไวน์ ไปจนถึงปริมาณน้ำตาลที่เหลืออยู่ในไวน์

สำหรับการระบุฉลากไวน์ หลัก ๆ แล้วจะมีการระบุภูมิภาคที่ผลิตไวน์มากกว่าสายพันธุ์ขององุ่นหรือรายละเอียดขององุ่นที่ใช้ทำไวน์ สาเหตุก็เพราะคำว่า “Terroir”

Terroir แปลตรงตัวว่าโลกหรือดินแดน แต่ในความหมายของศัพท์เฉพาะทางจะแปลว่า “รสชาติของสถานที่” สื่อถึงทุกอย่างโดยรวมของพื้นที่ที่เป็นปัจจัยในการผลิตไวน์ ตั้งแต่ดินที่ใช้ปลูกองุ่นสำหรับทำไวน์ ความชัน มุมลาดเอียง ความสูงของดิน ความชื้นและแสงแดด เพราะจริง ๆ แล้วกระแสของลมที่พัดมามีส่วนที่ทำให้รสชาติของไวน์ดีได้พอ ๆ กับความสมบูรณ์ของตัวองุ่นเลยทีเดียว แน่นอนว่าในส่วนของไวน์โลกเก่า ก็จะมีกฎที่ระบุรายละเอียดของ Terroir ที่เหมาะกับการทำไวน์มากที่สุด

ไวน์โลกเก่าจะเปรียบ Terroir เสมือนจิตรกร ผู้ทำไวน์คือผืนผ้าใบ ส่วนองุ่นคือสี แต่ในส่วนของไวน์โลกใหม่ ซึ่งเป็นไวน์กลุ่มที่ตรงกันข้ามกับไวน์โลกเก่า ผู้ทำไวน์คือจิตรกร ปัจจัยโดยรวมของการทำไวน์คือผืนผ้าใบและองุ่นก็คือสี ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบความแตกต่างของไวน์ทั้งสองชนิดได้อย่างเห็นภาพชัดเจนมากที่สุด

มาถึงประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรปและมีชื่อเสียงในเรื่องของการผลิตไวน์ นั่นก็คือประเทศต่าง ๆ ต่อไปนี้

  • ออสเตรีย ได้แก่ไวน์ Riesling, Pinot Blanc และ Zweigelt
  • ฝรั่งเศส ได้แก่ไวน์ Cabernet, Pinot Noirs และ Chardonnays
  • เยอรมัน ได้แก่ไวน์ Pinot Noir, Riesling และ Pinot Blanc
  • กรีซ ได้แก่ไวน์ Agiorghitiko, Moschofilero และ Xinomavro
  • ฮังการี ได้แก่ไวน์ Furmint, Kadarka และ Furmint
  • อิตาลี ได้แก่ไวน์ Piedmont, Lombardy และ Trentino-Sud Tyrol
  • โปรตุเกส ได้แก่ไวน์ Tawny, Rainwater และ Vinho Verde
  • สเปน ได้แก่ไวน์ Godello, Tempranillo และ Grenache

ไวน์ที่ถูกจัดอยู่เป็นไวน์โลกเก่าจะเป็นไวน์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความคลาสสิค เปรียบได้กับศิลปะที่ส่งต่อมาสู่รุ่นต่อรุ่นเปรียบเสมือนมรดกของโลก ซึ่งผู้ผลิตไวน์ มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎในการรังสรรค์ไวน์ตั้งแต่โบราณอย่างเคร่งครัด เพื่อให้บรรดาคอไวน์ได้ชิมไวน์แบบดั้งเดิมที่แสนมีคุณค่านั่นเอง