Tag Archives: ไวน์แดง

Nebbiolo องุ่นไวน์แดง แห่งบาโลโรและบาร์เรสโก ภูเขาแดนเหนือของอิตาลี

ภูมิภาคทางตอนเหนือของอิตาลีที่เรียกว่า Piedmont คือแหล่งกำเนิดขององุ่นไวน์แดงที่มีชื่อสายพันธ์ว่า “แนบบิโอโล” (Nebbiolo) เป็นองุ่นที่สามารถต้านทานต่อการเน่าและโรคราน้ำค้างได้อย่างดี ในส่วนของอาณาจักรที่มีชื่อเสียงสำหรับไวน์บาโรโลและบาร์บาเรสโก ซึ่งเป็นแหล่งที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลได้จากการจำหน่ายไวน์ที่มีมูลค่าหลายร้อยดอลลาร์ต่อหนึ่งขวด

องุ่นเนบบิโอโล ได้ทำให้เกิดความหลากหลายในยุคของ “ไวน์โลกใหม่” และในปัจจุบันมีการปลูกที่อยู่นอกจากบาโรโลและบาร์บาเรสโกแล้ว ก็ยังมีโรงบ่มไวน์เพียงไม่กี่แห่งในสหรัฐอเมริกา, แม็กซิโก, ชิลี, อาร์เจนตินา, บราซิล, อุรุกกวัย, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์อีกด้วย

ความหายากที่กลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดของ Nebbiolo

เพราะว่าไวน์เนบบิโอโล นั้นสามารถผลิตได้ในไม่กี่หมู่บ้านในภูมิภาค Piedmont ของอิตาลี ซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คือ บาโรโล (Barolo) และ บาร์เรสโก (Barbaresco) และเนบบิโอโลเป็นองุ่นเพียงองุ่นเดียวที่ใช้ในการทำไวน์ระดับไฮเอนด์ มีความโดดเด่นด้วยแทนนินเข้มข้น มีความเป็นกรดสูงและกลิ่นที่ชัดเจนคล้าย “ทาร์และดอกกุหลาบ” สิ่งนี้ทำให้ไวน์เนบบิโอโล ขึ้นแท่นเป็นไวน์ชั้นยอดที่สำหรับการเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษและเหมาะสมที่จะถูกถนอมไว้ในขวดไวน์ระดับโลก

ในช่วงเวลาหนึ่งเนบบิโอโลมีแนวโน้มเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ นั่นก็คือ ไวน์เนบบิโอโลส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีอ่อนจากที่เคยเข้ม, เปลี่ยนจากสีม่วงทับทิมไปเป็นสีส้มอิฐสดใส

รสชาติของไวน์ Nebbiolo

การได้ชิมไวน์เนบบิโอโล อาจเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ เพราะกลิ่นของดอกไม้และผลไม้สีแดงอ่อนทำให้กลิ่นของไวน์ละมุนกว่าที่คุณคิดอยู่มาก เมื่อได้ลองจิบไวน์เนบบิโอโล คุณก็จะได้สัมผัสถึงแทนนินเป็นอันดับแรก ที่ส่งความฝาดไปสู่ต่อมรับรสตั้งแต่โคนลิ้นจนย้อนกลับมาที่ริมฝีปากของคุณ แต่รสชาติของผลไม้ อย่างเชอร์รี่และราสเบอร์รี่ของไวน์ ผสมกับกลิ่นของดอกกุหลาบเจือโป๊ยกั๊กจะเข้ามาช่วยให้เกิดความรู้สึกตื่นตัวและสดชื่นอยู่เสมอ

สำหรับในช่วงเวลาที่อุณหภูมิต่ำลงของปี ไวน์เนบบิโอโลจะมีรสชาติของบิตและแครนเบอร์รี่รสเปรี้ยว, ผลกุหลาบป่าและแร่ดินสีแดงอีกด้วย

อาหารที่เหมาะกับ Nebbiolo

ด้วยกลิ่นที่ละเอียดอ่อนของเนบบิโอโล แต่ยังคงมีปริมาณของแทนนินอยู่ด้วย คุณจึงควรมองหาอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณไขมันมากกว่าส่วนของเนื้อ เพราะไขมันจะช่วยดูดซับความฝาดของแทนนินได้อย่างพอดี และความเป็นกรดของไวน์ ก็ทำให้มีการจับคู่กับอาหารที่มีกรดสูงด้วยความเค็ม อย่างเช่น น้ำสลัดที่ที่เพิ่มไขมันหรือน้ำมันมะกอกเพื่อให้กลมกลืนกับปริมาณแทนนินของไวน์ อาทิ เนื้อแกะย่างสมุนไพร, เป็ดรมควันกับเห็นป่า หรือลิ้นจี่ ผักโขมสดกับเห็ดทรัฟเฟิลสีขาว

Chambourcin องุ่นลูกผสม กลิ่นหอมยวนใจแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์

การพัฒนาสายพันธุ์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตไวน์นั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดสายพันธุ์องุ่นที่ต่างก็มีความโดดเด่นและหลากหลายรสชาติเกิดขึ้น ผลที่ตามมาก็คือความรุ่นเรืองของอุตสาหกรรมไวน์ในปัจจุบัน เพราะเมื่อมีองุ่นพันธุ์ดีที่เป็นวัตถุดิบหลักในการใช้ผลิตไวน์แล้ว ก็จะได้น้ำไวน์ที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ซึ่งในบทความนี้อยากกล่าวถึงองุ่นพันธุ์ผสมที่เป็นหนึ่งในองุ่นสายพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนา จนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองจนเป็นที่กล่าวขานในหมู่นักชิมไวน์ต่อ ๆ กันมาตั้งแต่ปี 1970 องุ่นที่กล่าวถึงก็คือ องุ่นสายพันธุ์แชมบัวร์ซิน (Chambourcin) นั่นเอง

แชมบัวร์ซินเป็นองุ่นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างองุ่นพันธุ์ฝรั่งเศส-อเมริกัน ที่นิยมอย่างมากในการนำมาผลิตไวน์ แชมบัวร์ซิน ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความต้านทานโรคเชื้อราเป็นอย่างมาก ซึ่งพัฒนาขึ้นในแถบลุ่มแม่น้ำลัวร์ ของประเทศฝรั่งเศส แชมบัวร์ซินได้ถูกนำมาทำไวน์ครั้งแรกเมื่อปี 1963 โดย Joannes Seyve ผู้ซึ่งเป็นสมาชิกหนึ่งในครอบครัวที่มีชื่อเสียงในด้านการพัฒนาสายพันธุ์องุ่นที่ใช้ผลิตไวน์

ไวน์ที่มาจากแชมบัวร์ซิน กลายเป็นไวน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปี 1970 ในแถบภูมิภาค Bordeaux และ Loire Valley ของฝรั่งเศส และยังคงเป็นไวน์แดงอันดับต้น ๆ ที่ถูกนึกถึงอยู่เสมอจนถึงปัจจุบัน

แหล่งปลูกองุ่นและผลิตไวน์แชมบัวร์ซิน

องุ่นแชมบัวร์ซิน มีการปลูกมากที่สุดในภูมิภาคอเมริกาเหนือ กลางมหาสมุทรแอตแลนติกในภูมิอากาศเย็น สำหรับไร่องุ่นก็ยังสามารถหาได้ในนิวยอร์ก, นิวเจอร์ซี, นอร์ธ แคโรไรน่าและเพนซิเวเนียร์ ในส่วนของรัฐอื่น ๆ ที่ยังคงมีปลูกองุ่นแชมบัวร์ซินให้เห็น ได้แก่ เวอร์จิเนีย, แมริแลนด์, มิชิแกน, เวสต์ เวอร์จิเนีย, อิลลินอยส์, อินดีแอนาและมิสซูรี่ รวมถึงออสเตรเลียและฝรั่งเศสที่ทราบกันดีว่าองุ่นแชมบัวร์ซินนั้นเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี ทำให้ไวน์แชมบัวร์ซินที่ผลิตในออสเตรเลียมีความเข้มข้น ถูกใจผู้ที่ชื่นชอบดื่มไวน์เป็นอย่างมาก

ในทางกลับกัน ประเทศในแถบยุโรปจะไม่ได้รับอนุญาตให้มีการผสมองุ่นสายพันธุ์ดั้งเดิมกับองุ่นพันธุ์ผสม จึงเป็นผลให้ประเทศฝั่งยุโรปไม่สามารถจำหน่ายไวน์ที่ผลิตจากแชมบัวร์ซินได้อย่างแพร่หลาย

ความโดดเด่นของแชมบัวร์ซินที่หาได้ยากในองุ่นลูกผสม

ไวน์ที่ผลิตจากแชมบัวร์ซิน จะมีสีเข้มและมีกลิ่นหอม ซึ่งแตกต่างจากองุ่นลูกผสมสายพันธุ์อื่น ๆ แชมบัวร์ซินนั้นสามารถนำไปผลิตได้ทั้ง ไวน์จืด (Dry Wine) และไวน์หวาน (Sweet Wine) ด้วยปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในแชมบัวร์ซินนั้น มีความหวานที่พอเหมาะ คุณจะได้ดื่มด่ำกับไวน์แดงเข้มข้นแม้จิบเพียงแค่นิดเดียว

ไวน์แชมบัวร์ซิน เข้ากันได้ดีกับอาหารหลากหลาย ตั้งแต่แฮมเบอร์เกอร์ เนื้อลูกวัว ไปจนถึงอาหารปลา อย่าง ทูน่า, ปลาอิโต้มอญ (Mahi-mahi), ปลาฉนาก (Swordfish) และปลาลิ้นหมา เมื่อพูดถึงของหวาน ไวน์แชมบัวร์ซิน มักจับคู่กับของหวานที่ทำจากช็อคโกแลต สีเข้ม ๆ ของไวน์เหมาะสำหรับบรรยากาศการรับประทานอาหารค่ำในช่วงเย็นอันแสนโรแมนติก รสชาติขององุ่นและช็อคโกแลตสามารถเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว

Nero d’Avola ไวน์สีเข้มสะกดใจ สีสันจากเมือง Avola บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของซิซิลี

เมื่อกล่าวถึงซิซิลี แน่นอนว่าคุณคงเห็นภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางภาคใต้ของประเทศอิตาลี หมู่เกาะที่มีประวัติยาวนานกว่า 4,000 ปี เป็นดินแดนที่มีวัฒนธรรมผสมผสานหลากหลาย พรั่งพร้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งทะเล ชายหาด ไปจนถึงภูเขา และยังคงความเป็นอิตาลีดังเดิมได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งซิซิลียังมีขุมทรัพย์มหัศจรรย์อีกชนิดหนึ่งนั่นก็คือ องุ่น Nero d’Avola  (เนอโอ ดา โวลา)

Nero d’Avola องุ่นแดงที่สำคัญที่สุดของซิซิลี

Nero d’Avola ถูกยกให้เป็นองุ่นที่มีความสำคัญที่สุดของซิซิลี และเป็นหนึ่งในองุ่นสายพันธุ์พื้นเมืองที่สำคัญที่สุดของอิตาลี ถูกตั้งชื่อตามชื่อของเมือง Avola ที่เป็นเมืองชายฝั่งทางตอนใต้ของซิซิลี สำหรับ Nero d’Avola แปลว่า “Black of Avola” ซึ่งมาจากสีของผลองุ่นที่เป็นสีเข้มอย่างเด่นชัด

ในช่วงศตวรรษที่ 20 Nero d’Avola  ถูกใช้เพียงแค่เป็นส่วนผสมเล็กน้อย และไม่ค่อยพบเห็นชื่อปรากฏอยู่บนฉลากไวน์สักเท่าไร จนกระทั่งย่างเข้าศตวรรษที่ 21 อุตสาหกรรมไวน์องุ่นได้เจริญเติบโตเป็นอย่างมาก และก็สามารถพบเห็น Nero d’Avola ที่ถูกนำมาผลิตเป็นไวน์หลายชนิดจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา Nero d’Avola มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับไวน์ Syrah เพราะเป็นไวน์ที่ผลิตจากองุ่นที่มีแหล่งกำเนิดคล้าย ๆ กัน และมีลักษณะของกลิ่นและรสชาติคล้ายกันอีกด้วย

กระบวนการผลิต Nero d’Avola  ที่เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติของไวน์

ในขั้นตอนกระบวนการผลิต Nero d’Avola สามารถผลิตไวน์ที่มีรสชาติและสีแตกต่างกันไปตามระยะเวลาที่บ่มไว้ในถังไม้โอ๊คและอุณหภูมิที่พอเหมาะ สำหรับไวน์ที่มีอายุการบ่มน้อย จะให้ความรู้สึกถึงรสชาติของบ๊วยและผลไม้สีแดง ในขณะที่ไวน์ที่ถูกเก็บไว้นาน ๆ จะมีความซับซ้อนมากขึ้น จนสามารถรับรู้ได้ถึงรสช็อคโกแลตและราสเบอรี่เข้มข้น

Nero d’Avola จะมีแทนนินสูง, มีกรดกลาง อย่างไรก็ตาม หากต้องการรสชาติที่กลมกล่อม ควรเก็บ Nero d’Avola ไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิเย็น จะสามารถรักษาระดับแอลกอฮอล์ให้คงอยู่ในรสชาติได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบันได้มีการทดลองปลูก Nero d’Avola ในออสเตรเลียและแคลิฟอร์เนียร์ และเพราะการมีสีสันที่สะดุดตาทำให้ในบางครั้ง Nero d’Avola ก็ถูกนำไปผลิตไวน์ Rosé อีกด้วย

อาหารที่เข้ากันดีกับ Nero dAvola

เนื่องจาก Nero d’Avola มีรสชาติของผลไม้ที่มีลักษณะของแทนนิน และกรดอยู่ด้วย ทำให้ Nero d’Avola เป็นไวน์ชั้นเยี่ยมที่เหมาะสมกับเนื้อสัตว์ ที่เน้นหนักไปทางเนื้ออย่างมาก

การจับคู่อาหารแบบคลาสสิก อย่างเช่น ซุปหางวัวและสตูว์เนื้อ หรือบาร์บีคิว เบอร์เกอร์กับเบคอน ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้สัมผัสถึงรสชาติผลไม้ที่เหมือนกับได้อมลูกอมกลิ่นหอม ในส่วนของเครื่องเทศที่จะช่วยเสริมรสชาติให้ไวน์ Nero d’Avola ก็คือโป๊ยกั๊ก, เปลือกส้ม, ใบกระวาน, สาเก, ผงโกโก้, ซอสพลัมเอเชียและกาแฟ ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีเช่นกัน

องุ่น Lacrima หยดน้ำตาอันแสนล้ำค่าที่กลายมาเป็นไวน์ Lacrima di Morro d’Alba

ประเทศอิตาลียังคงเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ที่มีแหล่งผลิตไวน์รสชาติดี เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น อย่างเช่นในดินแดนแถบตะวันออก ระหว่างเทือกเขา Apennine และทะเล Adriatic มีแคว้นมาร์เค่ (Marche) ที่เป็นขุมทรัพย์ในการปลูกองุ่นพันธุ์พื้นเมืองโบราณที่มีชื่อสายพันธุ์ว่า Lacrima ต้นกำเนิดของชื่อองุ่นพันธุ์นี้เกิดขึ้นจากลักษณะทางกายภาพภายนอกที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าที่ว่า ผลขององุ่นเมื่อสุกจะเป็นรูปคล้ายหยดน้ำหรือน้ำตา ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาพื้นที่ปลูก Lacrima ได้ลดจำนวนลงอย่างมาก ทำให้หลงเหลือพื้นที่ปลูกไร่องุ่น Lacrima อยู่ใน Morro d’Alba เป็นส่วนใหญ่

แคว้นมาร์เค่สามารถผลิตไวน์ได้หลากหลายชนิด มีผลิตภัณฑ์มากถึง 13 ที่ได้รับฉลาก D.O.C (Denominazione di Origine Controllata) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าในบอดี้ของไวน์จะต้องมีองุ่นอย่างน้อย 85% และต้องเป็นองุ่นพันธุ์พื้นเมืองที่ไม่ได้รับการปรับแต่งสายพันธุ์แต่อย่างใด ส่วนกรรมวิธีการผลิตก็ยังคงใช้เทคนิคการหมักแบบคาร์บอนิก จนได้ไวน์สดที่มีกลิ่นหอมรุนแรงและรสอยู่ในระดับปานกลางเป็นธรรมชาติ ก่อนนำมาเก็บรักษาไว้ในถังไม้โอ๊คทำให้เกิดการบ่มจนมีรสชาติที่ดีขึ้น ผลคือได้ไวน์ชั้นยอดที่เกิดจากผลของ Lacrima อันโด่งดัง มีชื่อว่า Lacrima di Morro d’Alba (ลาคริม่า ดิ มอร์โร่ ดัลบ้า)

องุ่น Lacrima เป็นองุ่นที่ชอบภูมิอากาศแบบเขตอบอุ่น เนื่องจากไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศที่เลวร้ายและราสีเทาได้เป็นเวลานาน Lacrima ชื่นชอบแหล่งที่มีแดด ซึ่งจะส่งผลให้มีกลิ่นหอมในขณะที่ยังคงความเป็นกรดไว้ได้ เป็นการช่วยรักษาสมดุลของไวน์ เปลือกของผลองุ่นจะบาง แน่นอนว่าจะมีผลต่อความอ่อนโยนของแทนนิน ที่ดูเหมือนว่าไวน์ที่ได้จาก Lacrima จะเป็นสีอ่อน แต่ความจริงคือได้ไวน์ที่เป็นสีเข้ม

สี กลิ่นและรสของไวน์ Lacrima di Morro dAlba

Lacrima di Morro d’Alba เป็นไวน์แดงสีทับทิมเข้มที่แอบแฝงด้วยเฉดสีม่วง ทำให้ได้รับกลิ่นหอมที่โดดเด่น ความอบอวลของกลิ่นที่วิวัฒนาการมาจากสตรอเบอร์รี่, เชอรี่, แบล็กเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่ ด้วยบอดี้ของ Lacrima di Morro d’Alba นั้นอยู่ในระดับปานกลาง ก็จะทำให้เพดานของคุณรับรู้ถึงความดรายของแทนนินที่เจือปนอยู่ได้เป็นอย่างดี

การจับคู่ของ Lacrima di Morro dAlba กับอาหารมื้อโปรด

เมื่อองุ่น Lacrima ถูกทำมาเป็นไวน์ Lacrima di Morro d’Alba และถูกนำออกมาเสิร์ฟคู่กับอาหาร เพื่อให้มื้อนั้นกลายเป็นมื้ออาหารชั้นยอดของคุณได้ ซึ่ง Lacrima di Morro d’Alba สามารถเข้าได้ดีกับผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น เช่น เนื้อซาลามี่และ Ciauscolo, Medium-aged cheeses, พาสต้ากับซอสสีแดง เช่น ซอสเนื้อ, เนื้อแกะและกระต่ายย่าง และสามารถนำ Lacrima di Morro d’Alba มาทำเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้ด้วย ถ้าหากนำมาหมักกับปลาน้ำเงิน เมื่อจบการรับประทานอาหารมื้อนั้นแล้ว คุณอาจจะได้พบความสุขที่ลืมไม่ลงก็เป็นได้

SONOMA County ผืนดินอันอุดม แหล่งกำเนิดแบรนด์ไวน์คุณภาพจากแคลิฟอร์เนียที่เรารู้จักกันในชื่อว่า“Decoy”

“Sonoma County”ชื่อที่หลายท่านอาจรู้จัก ในขณะที่หลายท่านอาจไม่มีข้อมูลอยู่ในหัวเลยว่ามันคือที่ไหน แท้จริงแล้ว Sonoma County หรือ Sonoma Valley นี้อยู่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียในประเทศสหรัฐอเมริกา พื้นที่ส่วนใหญ่ในอาณาบริเวณนี้จะเป็นภูเขาและอีกฟากหนึ่งติดมหาสมุทรแปซิฟิก ยิ่งไปกว่านั้น Sonoma County ยังเป็นชุมชนที่ทำไร่องุ่นใหญ่ที่สุดในอเมริกา เพราะมีภูมิอากาศค่อนข้างแห้ง มีดินที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเกิดจากการทับถมของแร่ธาตุบนภูเขา และยังได้รับลมทะเลซึ่งเป็นเคล็ดลับความอร่อยของไวน์แดงแบรนด์ “Decoy”

ลักษณะที่ได้เปรียบบน Sonoma County แดนภูเขาที่เพิ่มความเข้มข้นให้องุ่น

ใน Sonoma County ที่นี่มีภูมิทัศน์เป็นภูเขาเสียส่วนใหญ่ ทำให้การปลูกไวน์ก็ต้องปลูกบนเนิน บนภูเขาด้วยเช่นกัน แต่นั่นกลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับการทำไร่องุ่นของที่นี่เพราะลักษณะที่ลาดชันทำให้ไร่องุ่นเกิดการระบายน้ำได้ดียามมีฝนหมดปัญหาเรื่องการเกิดบ่อน้ำกักขัง นอกเหนือจากนั้นองุ่นก็ยังได้ผลประโยชน์จากการได้รับแดดอย่างเต็มที่ยามพระอาทิตย์สาดเข้ามาทางทิศตะวันออก และจะได้พักจากแดดเมื่อพระอาทิตย์เบี่ยงตัวไปอยู่ทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศทางที่ภูเขาจะบังแสงแดดให้กับผลองุ่นในไร่ จึงทำให้สีขององุ่นในไร่มีความสวยงาม เป็นสีม่วงออกไปทางฟ้า ถือเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่หาได้ยากจากที่อื่น

นอกเหนือจากที่การระบายน้ำในไร่จะเป็นไปในทิศทางที่ดีแล้ว เพราะอาศัยความลาดชันของภูเขาในการเข้าช่วย ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นผลพลอยได้กลับมา นั่นก็คือทำให้องุ่นมีความเข้มข้นมากขึ้นจากหน้าดินบริเวณนั้นด้วย ในภายหลังผู้พัฒนาไวน์ของDecoy จึงได้เปลี่ยนให้มีการปลูกไร่องุ่นในแนวชันเป็นแถวเดี่ยวเพื่อให้ทางน้ำไหลผ่าน เพราะจะได้กระตุ้นให้ผลองุ่นมีรสชาติที่เข้มข้นเท่ากันทุกผล

เคล็ดลับความอร่อยของ Decoy ไวน์แดงภูเขาผสมลมทะเล ที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหนบน Sonoma County

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าลักษณะภูมิทัศน์ที่เป็นภูเขา ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องการระบายน้ำ และที่สำคัญบริเวณที่น้ำไหลผ่านและแสงอาทิตย์ส่องบริเวณภูเขานั้น ยังทำให้ผลองุ่นออกมามีรสชาติเข้มข้นมาก ๆ อีกด้วย แต่เคล็ดลับความอร่อยไม่ได้อยู่แค่เพียงเท่านั้น เพราะ Decoy ได้แบ่งแยกการทำไร่องุ่นออกเป็นสองแบบ คือการปลูกแบบเนินเขาและการปลูกแบบที่เรียบโล่งแจ้ง ซึ่งพันธุ์องุ่นที่ใช้ปลูกจะมีด้วยกันสองสายพันธุ์ นั่นก็คือ พันธุ์กาแบร์เน โซวีญงและพันธุ์เทมปรานิลโย โดยสายพันธุ์หลังจะเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ได้นิยมปลูกใน Sonoma County ดังนั้นจึงสามารถหาได้ที่ไร่องุ่นของ Decoy เท่านั้น

ผู้ผลิตไวน์ของ Decoy ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เคล็ดลับความอร่อยของ Decoy นอกจากจะเป็นเพราะผลองุ่นแล้ว ยังเป็นเพราะภูมิอากาศด้วย ที่ทำให้ผลองุ่นเจอกับอากาศที่แห้งและค่อนข้างร้อนในตอนเช้า ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบขององุ่นแดงอยู่แล้ว แต่ยามเมื่อถึงตอนกลางคืนกลับได้ลมเย็น ๆ จากมหาสมุทรแปซิฟิกเข้ามาช่วยทำให้องุ่นมีความสดใหม่ ไม่สุกงอมจนเกินไป และในฤดูที่เก็บเกี่ยวก็ง่ายต่อการดูแลรักษา

นอกจาก SonomaCounty จะเป็นพื้นที่ที่สวยงามแล้ว ก็ยังเป็นแหล่งเคล็ดลับที่สำคัญมาก ๆ ของแบรนด์ Decoy อีกด้วย พอได้รู้ประวัติศาสตร์ของไวน์เปี่ยมคุณภาพแล้ว ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าไวน์ที่ดื่มอร่อยขึ้นอีกเป็นกอง ใครมีโอกาสได้ลิ้มชิมรสไวน์แดงชื่อดังจาก Decoy ก็อย่าพลาดโอกาสเชียวล่ะ

แนะนำวิธีการเลือกไวน์ดื่มคู่กับอาหารจานเนื้อ เติมเต็มมื้ออาหารให้เลิศรสยิ่งขึ้น

เนื้อปรุงสุกหอม ๆ เป็นอาหารจานอร่อยที่ใครหลาย ๆ คนชื่นชอบ และหากคุณกำลังมองหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้ากับอาหารจานเนื้อได้เป็นอย่างดี ไวน์จะต้องเป็นเครื่องดื่มชนิดแรก ๆ ที่นึกถึง เพราะรสชาติที่ซับซ้อนของไวน์จะไปเสริมรสชาติแสนอร่อยของเนื้อได้เป็นอย่างดี แต่อาหารจานเนื้อแต่ละจานก็เข้ากันได้ดีกับไวน์ที่แตกต่างกันไป เรามีเคล็ดลับการเลือกไวน์ให้เหมาะสมกับอาหารจานเนื้อแต่ละจานมาฝาก มีอะไรบ้าง มาดูกัน

การเลือกไวน์ที่เหมาะกับ สเต็กเนื้อ

เคล็ดลับการเลือกไวน์ที่เหมาะสำหรับ สเต็กเนื้ออร่อย ๆ ก็คือไวน์ที่มีแทนนินผสมค่อนข้างสูง ซึ่งจะค่อนข้างมีรสฝาดและเข้มข้น เข้าไปเสริมความชุ่มช่ำของเนื้อได้อย่างลงตัว

สเต็กโดยทั่วไปจะมีการปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย ดังนั้นหากคุณต้องการจะชูรส สเต็กเนื้อของคุณ ควรจะเลือกไวน์ที่มีรสจัดจ้าน มีกลิ่นอายของเครื่องเทศเข้มข้นเช่นไวน์ Shiraz จากออสเตรเลีย ไวน์ Syrah จากแคลิฟอร์เนีย หรือหากคุณอยากทานไวน์โลกเก่าแสนคลาสสิคจากจากฝรั่งเศส ก็สามารถเลือกดื่มไวน์ Châteauneuf-du-Pape คู่กับ สเต็กได้

การเลือกไวน์ที่เหมาะกับแฮมเบอร์เกอร์

แฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารจานด่วนที่ใคร ๆ ก็โปรดปราน เพราะผู้ที่ทานสามารถเลือกเครื่องที่จะอยู่ภายในแฮมเบอร์เกอร์ได้ตามใจ ทำให้แฮมเบอร์เกอร์มีรสชาติอร่อยถูกปากคนทานอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อแฮมเบิร์ก เชดด้าชีส หัวหอม มะเขือเทศหรือผักดอง หากคุณต้องการจะเลือกไวน์ที่เหมาะสำหรับอาหารที่มีรสชาติซับซ้อนมากมายอย่างแฮมเบอร์เกอร์ ก็ควรที่จะต้องเลือกไวน์ที่มีรสชาติอ่อน ๆ ไม่หนักหรือซับซ้อนมาก ยกตัวอย่างเช่น ไวน์ Mourvèdre Rosé หรือ Côtes du Rhone

หากคุณอยากจะเลือกแฮมเบอร์เกอร์และไวน์สำหรับทานคู่กัน เราแนะนำให้เลือกแฮมเบอร์เกอร์ไส้ชีส halloumi ซอสบาร์บีคิวและหัวหอมย่าง ทานคู่กับไวน์ Syrah, Malbec ไวน์ Zinfandel หรือ Cabernet Sauvignon ที่มีแทนนินค่อนข้างสูงและมีความเป็นกรดหรือมีรสเปรี้ยว สามารถตัดความหวานของหัวหอมและซอสบาร์บีคิวได้ดี

เนื้อย่าง

เนื้อย่างเป็นอาหารจานเนื้อที่มีกลิ่นหอมที่ชวนทานและรสชาติอร่อยจนเกินจะห้ามใจ โดยรสชาติอันโดดเด่นของเนื้อย่างก็คือเนื้อที่มีรสชาติเข้มข้นไปด้วยซอสเกรวี่เข้มข้น โดยไวน์ที่เหมาะกับเนื้อย่างที่สุดก็คือไวน์ที่มีความเข้มข้นไม่แพ้กัน

แนะนำให้เลือกไวน์ Cabernet Sauvignon จากแคลิฟอร์เนียที่มีอายุประมาณ 5 – 10 ปี หรือไม่ก็ไวน์ Cab/Shiraz จากออสเตรเลียก็เหมาะกับเนื้อย่างไม่แพ้กัน หากคุณอยากดื่มไวน์โลกเก่าจากประเทศแถบยุโรป ลองดื่ม Old Vine Barbera หรือ Grenache ที่มีอายุ 5 – 10 ปี โดยไวน์ที่ถูกเก็บมาเป็นระยะเวลานาน จะทำให้รสชาติมีความเข้มข้นและหนักแน่นมากยิ่งขึ้น

อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าไวน์ที่เหมาะกับเนื้อนั้นส่วนมากจะเป็นไวน์แดงที่มีรสชาติเข้มข้น มีความฝาดและมีรสเปรี้ยวตามเล็กน้อย โดยรสชาติแบบนี้จะเข้าไปเสริมความหวานอร่อยตามธรรมชาติของอาหารจานเนื้อ ช่วยยกระดับให้มื้ออาหารจานเนื้อของคุณให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น หากคุณเลือกทานอาหารจานเนื้อในคราวหน้า อย่าลืมลองสั่งไวน์ที่เหมาะสมไปดื่มคู่กันดู รับรองว่าไม่ผิดหวัง

เคล็ดลับการจับคู่ไวน์กับอาหารที่มีรสจัด

โดยปกติแล้ว สาเหตุที่ไวน์ไม่เหมาะกับอาหารที่มีรสจัด ก็เป็นเพราะรสชาติที่ซับซ้อนและเข้มข้นของไวน์ ที่มักจะไปทำลายรสชาติที่ซับซ้อนอยู่แล้วของอาหารที่มีรสจัด แต่ก็มีไวน์บางตัว ที่มีรสชาติเบา ๆ และเหมาะกับอาหารรสจัดเป็นที่สุด โดยสิ่งเหล่านี้ก็คือสิ่งที่คุณควรคำนึงไว้หากต้องการจะเลือกไวน์ที่เหมาะกับอาหารรสจัด

1.หลีกเลี่ยงไวน์ที่มีกลิ่นโอ๊กและแอลกอฮอล์

ไวน์ที่เหมาะกับอาหารที่มีรสชาติซับซ้อนก็คือไวน์ที่มีแอลกอฮอล์ปานกลางไปถึงต่ำ คุณควรเลือกไวน์ที่มีรสชาติเบา สดชื่นและมีความเป็นกรด ซึ่งจะช่วยชูรสชาติที่เผ็ดร้อนและเข้มข้นของอาหารที่มีรสชาติเผ็ดจัดได้เป็นอย่างดี ราวกับมะนาวที่ปรุงรสชาติของอาหาร เช่นเดียวกันกับรสชาติของโอ๊กในตัวไวน์ ที่จะไปทำให้รสชาติของอาหารรสจัดนั้นด้อยลงไป ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงไวน์ที่มีกลิ่นโอ๊กเด่นเกินไปจะดีที่สุด

2. เลือกไวน์ที่มีกลิ่นผลไม้และไม่มีรสฝาด

ควรเลือกไวน์ขาวที่มีกลิ่นหอม มีความฝาดน้อยที่สุดและมีรสชาติผลไม้ที่โดดเด่น ซึ่งไวน์ที่มีรสชาติแบบนี้เหมาะกับอาหารที่มีรสจัดจากเอเชียมากที่สุด โดยความหวานจากน้ำตาลที่เหลืออยู่ในไวน์จะสร้างรสชาติที่ตัดกับความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศ ดึงสมดุลรสชาติของอาหารให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

3.เพิ่มรสชาติของอาหารด้วยไวน์แดงที่มีรสชาติเบา

สำหรับไวน์แดงที่มีรสชาติจัดจ้านก็สามารถดื่มคู่กับอาหารรสจัดได้เช่นเดียวกัน แม้จะมีแทนนินที่ทำให้มีรสฝาดและมีแอลกอฮอล์ที่ค่อนข้างสูง ที่จะเข้าไปเน้นความขมของอาหารและช่วยทำให้อาหารมีรสชาติที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยเคล็ดลับในการเลือกไวน์แดงที่เหมาะกับอาหารก็คือควรจะมีความเป็นกรดอยู่มากพอสมควร เพื่อทำให้ตัวไวน์เบา สามารถดื่มคู่กับอาหารรสจัดได้โดยไม่ทำให้รสชาติโดยรวมหนักจนเกินไป

แนะนำไวน์ที่เหมาะกับอาหารที่มีรสจัด

แนะนำให้หลีกเลี่ยงไวน์ที่มีแอลกอฮอล์และแทนนินมากเกินไปอย่าง Cabernet Sauvignon, Shiraz และ Merlot พอ ๆ กับ Chardonnay ที่มีกลิ่นโอ๊กแรงจนเกินไป

ในไวน์ขาวที่มีกลิ่นผลไม้ที่น่าสนใจก็มี Albariño จาก Rías Baixas ในสเปนไวน์ Grüner Veltliner จากออสเตรีย และ Vouvray จาก Loire valley ในฝรั่งเศส นอกจากนั้นก็ยังมีไวน์ Gewürztraminer และ Viognier ที่แม้จะไม่มีรสเปรี้ยวสดชื่นมากมายนัก แต่ก็มีกลิ่นหอม ๆ และรสชาติผลไม้ เหมาะสำหรับอาหารที่มีรสเผ็ดที่สุด

และสำหรับไวน์แดงที่ค่อนข้างเหมาะดื่มคู่กับอาหารที่มีรสเผ็ดก็มี Barbera จากอิตาลี ไวน์ Beaujolais จากประเทศฝรั่งเศส โดยไวน์เหล่านี้มีแทนนินค่อนข้างต่ำ พร้อมรสผลไม้สดชื่นและความเป็นกรดค่อนข้างต่ำ เหมาะกับอาหารที่มีรสเผ็ด

จริง ๆ แล้วอาหารทุกประเภทก็เหมาะกับไวน์ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเราควรจะเลือกไวน์ให้เหมาะสมกับอาหารที่เราจะทานมากที่สุด เพื่อช่วยให้อาหารมื้อนั้นเป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด ถ้าไม่เชื่อ ลองจับคู่ไวน์กับอาหารรสจัดที่คุณชื่นชอบดู รับรองว่าไม่ผิดหวัง

มือใหม่อยากลองดื่มไวน์มาทางนี้ แนะนำการเลือกไวน์และไวน์สำหรับเริ่มต้นดื่มไวน์

เมื่อคุณเป็นมือใหม่ในวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยอดนิยมอย่างไวน์ คุณอาจจะสับสนและมึนงงกับไวน์ชนิดต่างๆ ยี่ห้อของไวน์ ประเทศที่ผลิตและศัพท์ทางเทคนิคต่างๆ มากมาย จริงๆ แล้วคุณไม่จำเป็นที่จะต้องจำคำศัพท์อะไรมากนัก เพียงแค่ต้องทำความเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้

ความหวาน ไวน์ที่มีความหวานเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์ หากคุณอยากลองชิมไวน์ที่มีรสหวาน ลองเลือกไวน์ที่มีเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ค่อนข้างสูงสักหน่อยเพื่อที่จะช่วยดึงความหวานของไวน์ออกมาได้ดียิ่งขึ้นแม้จะไม่ได้มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบมากนักก็ตาม

แทนนิน เป็นสารที่พบหลัก ๆ ในไวน์แดงและมักจะติดอยู่ที่ฟันของคุณเหมือนกับหมากฝรั่งหลังจากที่คุณกลืนไวน์ลงไป และทิ้งรสขมติดลิ้น ซึ่งรสชาติแบบนี้อาจจะทำให้ผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์ไม่ค่อยประทับใจกับไวน์ไปเลย ดังนั้นหากคุณเริ่มต้นดื่มไวน์ ก็ควรที่จะเลือกไวน์ที่มีแทนนินต่ำก่อน

ความเป็นกรด ไวน์ทำจากองุ่นซึ่งเป็นผลไม้ ในผลไม้นั้นมีกรดเป็นส่วนประกอบ ทำให้ได้รสชาติที่สดชื่น ลองถามตัวเองก่อนว่าคุณชอบเครื่องดื่มที่มีรสจัดหรือมีความเปรี้ยวมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะเป็นตัวช่วยในการเลือกดื่มไวน์ที่เหมาะกับคุณมากที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์มักจะไม่ชอบไวน์ที่มีความเป็นกรดหรือมีรสเปรี้ยวมากนัก

ไวน์ 3 ตัวที่เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์

  1. Prosecco

เป็นไวน์แบบ sparkling wine หรือไวน์ซ่าที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Glera โดยจะเป็นไวน์ขาวที่มีฟองฟู่ข้างใน มีรสผลไม้ชัดเจนและมีความหวานเล็กน้อย พร้อมกับรสชาติที่สดชื่นขององุ่นเขียวและองุ่น ยิ่งไปกว่านั้น Prosecco ไม่มีแทนนินและมีความเป็นกรดต่ำ

  1. Chardonnay

Chardonnay เป็นชื่อองุ่นขาวและไวน์ที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ดังกล่าว โดยไวน์ที่ทำจากองุ่น Chardonnay จะมีรสแอปเปิ้ลและลูกแพร์ พร้อมกับกลิ่นเนย ขนมปังปิ้งและต้นโอ๊ก ปกติแล้ว Chardonnay จะมีรสฝาด ไม่ค่อยออกหวานเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังมีกลิ่นผลไม้ ไม่มีแทนนินเพราะว่าเป็นไวน์ขาว

  1. Pinot Noir

Pinot Noir เป็นไวน์แดงที่ได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ เพราะมีรสชาติเบา มีแทนนินต่ำพร้อมกับรสชาติของเบอร์รี่และเชอร์รี่ ถึงแม้ว่าจะมีรสชาติออกฝาด ไม่ได้หวานมากนัก ไวน์ตัวนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบไวน์ขาวแต่อยากลองดื่มไวน์แดงดูบ้าง

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะลิ้มลองไวน์รสชาติแสนอร่อย แต่ยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องไวน์และและไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนเพื่อที่ได้ลองทานไวน์ที่เหมาะกับคุณมากที่สุด ก็ควรจะเริ่มจากไวน์ที่มีรสชาติอ่อนๆ และมีรสหวานของผลไม้ชัด พอชินแล้ว จึงค่อยลองไวน์ที่มีรสชาติฝาดขึ้น รับรองว่าคุณจะค่อย ๆ หลงรักไวน์โดยไม่รู้ตัว

คอไวน์แดงห้ามพลาด แนะนำอาหารที่เหมาะกับการทานคู่ไวน์แดงที่สุด

                ไวน์แดงถือเป็นไวน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ในประเภทของไวน์ทั้งหมด โดยมักจะเป็นไวน์ที่ถูกสั่งมาดื่มในมื้ออาหาร เนื่องจากเป็นไวน์ที่สามารถดื่มเข้ากันได้กับอาหารหลากหลายชนิดได้ดี สามารถชูรสชาติของอาหารให้กลมกล่อมขึ้นได้อยากลงตัวที่สุด จึงทำให้เมื่อนึกถึงไวน์ที่จะมาทานคู่กับอาหารจานโปรดก็มักจะมีชื่อของไวน์แดงอยู่ในนั้นเสมอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไวน์แดงจะสามารถดื่มเข้ากับอาหารได้ทุกชนิดนะ เพราะด้วยรสชาติเฉพาะตัวของไวน์แดงเองก็อาจทำให้รสชาติของอาหารบางประเภทถูกกลบไปได้ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นวันนี้จึงจะมาแนะนำอาหารที่เหมาะกับการทานคู่กับไวน์แดงอย่างที่สุด จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

อาหารที่เหมาะกับการทานคู่ไวน์แดง

  • สเต็กเนื้อ โดยเฉพาะที่ทำมาจากสัตว์ใหญ่ต่าง ๆ เพราะไวน์แดงเป็นไวน์ที่มีรสชาติเข้มข้น มีความฝาดค่อนข้างมากกว่าไวน์ชนิดอื่น ทำให้เมื่อนำมาทานคู่กับอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ใหญ่อย่างพวกเนื้อวัว เนื้อแกะ เมนูมัสมั่น สตูว์เนื้อหรือแกงกะหรี่เนื้อ รวมถึงอาหารจำพวกที่มีซอสเข้มข้นต่าง ๆจะมีความเข้ากันมาก เพราะจะช่วยชูรสชาติที่เข้มข้นของอาหารเหล่านั้นออกมา ทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมและลงตัวมากยิ่งขึ้น
  • ชีส ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าสามารถทานกับไวน์ได้อย่างเข้ากันที่สุด โดยชีสที่สามารถนำมาทานกับไวน์ก็จะมีหลากหลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นชีสเนื้อแข็งอย่างเชดดาร์ชีส พาเมซานชีส ที่เราอาจจะคุ้นชื่อกันมาบ้างโดยเฉพาะเชดดาร์ชีสที่เป็นอีกหนึ่งชีสที่นิยมทานกันในบ้านเรา ซึ่งเป็นชีสที่แข็งมีเนื้อสัมผัสที่เข้มข้นจึงเหมาะมากกับการทานคู่กับไวน์แดงที่มีรสสัมผัสที่หนักและเข้มข้นเช่นกัน ซึ่งความฝาดและรสชาติที่เข้มของไวน์แดงจะสามารถทำให้รสชาติของเชดดาร์ชีสนั่นกลมกล่มละมุนลิ้นขึ้นได้อย่างลงตัวที่สุด หรือจะเป็นซอฟชีสหรือชีสเนื้ออ่อนก็สามารถนำมาทานคู่กับไวน์แดงได้อร่อยไม่แพ้ชีสแข็งเช่นเดียวกัน อย่างที่รู้จักกันดีก็คือมอสซาเรลล่าชีสนั่นเอง

นอกจากนั้นไวน์แดงยังสามารถทานคู่กับอาหารที่เป็นเครื่องเทศได้อย่างดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย อาหารจีน หรืออาหารที่มีรสชาติที่จัดจ้าน มีเครื่องเทศหรือส่วนผสมที่ค่อนข้างหนักก็สามารถเข้ากันได้ดีกับไวน์แดงทั้งนั้น เรียกได้ว่าไวน์แดงเป็นอีกหนึ่งไวน์ที่สามารถทำให้มื้ออาหารของคุณเป็นมื้ออาหารที่น่าประทับใจได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะหากคุณเลือกจับคู่ไวน์แดงกับอาหารได้อย่างลงตัวด้วยแล้ว รับรองคุณจะได้ลิ้มรสกับความอร่อยที่มากขึ้นของอาหารและรสชาติของไวน์ที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

ใครบอกว่าดื่มไวน์คู่กับขนมหวานไม่ได้..มาลองลิ้มรสไวน์กับขนมหวานกันเถอะ

                เมื่อพูดถึงการดื่มไวน์หลายคนมักจะนึกถึงการดื่มไวน์คู่กับอาหารมื้อหลัก หรือการเลือกดื่มเพื่อเฉลิมฉลองสร้างบรรยากาศกับเพื่อน ๆ หรือครอบครัวกันเสียมากกว่า โดยที่คนทั่วไปมักคุ้นเคยกัน ก็จะต้องเป็นไวน์แดงที่ต้องดื่มกับอาหารจำพวกเนื้อ หรือสเต็กต่าง ๆ หรือไวน์ขาวที่ต้องดื่มกับอาหารจำพวกเนื้อปลา หรืออาหารทะเลถึงจะเข้ากันได้อย่างดี แต่ในความเป็นจริงนั้นมีอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถทานคู่กับไวน์ได้อย่างเข้ากันมากทีเดียว นั่นก็คือขนมหวานนั่นเอง ซึ่งบางคนอาจจะเคยได้ลองลิ้มชิมรสกันมาบ้างแล้ว แต่ก็คงมีอีกหลายคนที่ยังไม่เคยลอง และกำลังสงสัยอยู่ว่าขนมหวานเมื่อทานกับไวน์แล้วจะเป็นอย่างไร และขนมหวานแบบไหนที่เข้ากันได้ดีกับไวน์ วันนี้เราจึงจะมาแนะนำขนมหวานที่เหมาะกับการทานคู่กับไวน์ให้ได้รู้กัน ว่าแล้วตามไปดูกันได้เลย

ขนมหวานที่เหมาะทานคู่กับไวน์

  • ขนมหวานจำพวกทาร์ตผลไม้ต่าง ๆ จะเข้ากันได้ดีมากกับไวน์ขาวที่มีรสหวาน เพราะหากนำมาจับคู่กับขนมพวกทาร์ตผลไม้ หรือพายรสผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวนำ เช่น ส้ม เลม่อน แอปเปิ้ล แล้วจะให้ความรู้สึกที่กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น ยิ่งทานพร้อมกับการจิบไวน์ขาวเย็น ๆ ไปพร้อมกันละก็ จะให้ความรู้สึกที่สดชื่นมีชีวิตชีวามากเลยทีเดียว ส่วนไวน์แดงก็สามารถเลือกมาทานคู่กับขนมจำพวกชีสเค้กต่าง ๆ หรือขนมที่มีรสหวานได้ดี เพราะความฝาดของไวน์แดงจะตัดกับรสชองชีส หรือตัดความเลี่ยนได้เป็นอย่างดี และจะช่วยชูรสชาติชองขนมให้ละมุนขึ้น และสามารถทำให้การดื่มไวน์มีความอร่อยมากยิ่งขึ้นด้วย
  • ขนมที่มีส่วนผสมของช็อคโกแลต ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ช็อคโกแลต เค้กช็อคโกแลต ไอศครีมช็อคโกแลตหรือแม้กระทั่งช็อคโกแลตเองก็สามารถทานคู่กับไวน์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะไวน์แดงที่มีรสฝาด จะช่วยให้ความชมและความเข้มข้นของเนื้อช็อคโกแลตเบาบางลง ทำให้ได้รสสัมผัสที่ไม่หนักจนเกินไป เมื่อทานคู่กันแล้วจึงมีความลงตัวมากเลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังมีขนมหวานอีกหลากหลายชนิดที่สามารถมาทานกับไวน์ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นขนมหวานที่ทำจากผลไม้ ขนมปัง หรือขนมหวานที่มีส่วนผสมของนม ธัญพืช หรือช็อคโกแลตแบบต่าง ๆ ทั้งเนื้อมูสและเนื้อเค้ก โดยสามารถทานได้ทั้งกับไวน์ขาวและไวน์แดง หรือแม้แต่ไวน์พวกสปาร์คกลิ้งไวน์เองก็ตาม ซึ่งคุณสามารถเลือกจับคู่ได้ตามที่แนะนำไปได้เลย รู้แบบนี้แล้วอย่ารอช้า ดื่มไวน์ครั้งต่อไปอย่าลืมลองมองหาขนมหวานที่ชอบมาลิ้มลองคู่กับไวน์ขาดโปรดดู ไม่แน่นะคุณอาจจะพบกับเมนูแสนอร่อยเพิ่มขึ้นอีกเมนูหนึ่งก็ได้