Cork เปลือกไม้สำหรับทำจุกไวน์ ความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ของสิ่งเล็ก ๆ

Cork เปลือกไม้สำหรับทำจุกไวน์ ความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ของสิ่งเล็ก ๆ

“Wine Cork” หรือ “จุกก๊อกไวน์” เป็นส่วนประกอบเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งของขวดไวน์ ที่บางคนอาจไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไรนัก และมองว่าเป็นเพียงปราการสุดท้ายที่ขวางกั้นระหว่างตนและน้ำองุ่นหมักข้างใน แต่ในความเป็นจริงแล้วจุกไม้เล็ก ๆ นี้มีคุณค่าและความเป็นมาที่น่าสนใจมากพอ ๆ กับไวน์เลยทีเดียว จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าสิ่งนี้ทำมาจากเปลือกของต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในประเทศโปรตุเกส จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ากระบวนการตัดเปลือกไม้นี้ต้องทำด้วยมือเท่านั้น มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่รอให้เราได้รับรู้ เพื่อให้เข้าใจคุณค่าในทุกองค์ประกอบของไวน์อย่างแท้จริง

Cork Tree ต้นไม้สำคัญของโปรตุเกส กับวิธีการตัดเปลือกไม้แบบยั่งยืน

Cork เป็นต้นไม้ประจำชาติของประเทศโปรตุเกส เป็นต้นไม้ท้องถิ่นที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศ ด้วยสภาพแวดล้อม, ความชื้นในอากาศ และอุณหภูมิความร้อนที่เหมาะสม ทำให้ 35% ของจำนวนต้น Cork ทั้งหมดในโลกอยู่ที่ประเทศโปรตุเกส ซึ่งจุกก๊อกไม้ของไวน์ก็ทำมาจากเปลือกของต้นไม้ชนิดนี้นั่นเอง เจ้าของป่าได้ให้สัมภาษณ์ว่า ด้วยการที่ต้นไม้มีอายุยาวนานได้ถึง 200 ปี ทำให้ต้นไม้ที่เขาดูแลอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นต้นเดียวกันกับที่บรรพบุรุษรุ่นก่อน ๆ ของเขาเคยดูแลเช่นกัน

ส่วนวิธีการตัดเปลือกไม้ก็เปรียบเสมือนการทำงานศิลปะ เจ้าของป่าและคนงานจำนวนหนึ่งที่ทำหน้าที่ตัดเปลือกไม้ได้ให้ข้อมูลว่า งานนี้เป็นงานที่ยาก เป็นทักษะที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น คนงานต้องเริ่มเรียนรู้วิธีการตัดและฝึกฝนมาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็ก การตัดเปลือกต้น Cork นี้เป็นงานที่ต้องทำด้วยมือเท่านั้น ปกติต้นหนึ่งจะช่วยกันทำ 2 คน โดยจะเริ่มด้วยการใช้ขวานจามให้เป็นรอยเพื่อกำหนดขนาดแผ่นไม้ ต่อมาจึงจามพร้อมบิดให้เปลือกไม้แตกออกจากเนื้อไม้ แล้วก็ใช้ด้านข้างของใบมีดแซะเปลือกไม้ออกมาจากลำต้น

สิ่งที่ต้องพึงระวังที่สุดคือการตัดเปลือกแบบไม่ให้โดนเนื้อไม้ข้างใน เพราะถ้าโดนก็จะเป็นการทำร้ายต้น Cork และเปิดช่องว่างให้แมลงกับโรคต่าง ๆ เข้าไปในต้นไม้ได้ ภายหลังการตัดเปลือกไม้ไปใช้ ต้นไม้ต้นนั้นก็จะได้รับการปล่อยทิ้งไว้อีก 9 ปีเลยทีเดียวกว่าจะกลับมาตัดอีกครั้ง เพื่อให้ต้นไม้ได้พักซ่อมแซมตัวเองจนแข็งแรง และนี่ก็คือวิธีการใช้ประโยชน์จากต้นไม้แต่พอดี โดยคำนึงถึงความยั่งยืนเป็นสำคัญ

จากเปลือกไม้สู้จุกก๊อก เส้นทางการแปรรูปให้ได้ Wine Cork ที่มีคุณภาพ

เปลือกไม้ที่ตัดมาแบบดิบ ๆ จะถูกส่งต่อไปยังโรงงานทำจุกก๊อก โดยจะมีกระบวนการหมักเนื้อไม้ทิ้งไว้ 1-2 เดือน เมื่อครบกำหนดก็จะเอาเปลือกไม้ลงไปต้มในน้ำเดือดแบบเร็ว ๆ หลังจากนั้นก็จะทำการตัดแผ่นไม้ออกเป็นท่อน แล้วจึงใช้เครื่องจักรเจาะเนื้อของท่อนไม้เหล่านั้นให้ออกมาเป็น Wine Cork แบบที่เราเห็นกัน เมื่อได้จุกก๊อกแล้วโรงงานก็จะทำการคัดแยกออกเป็นเกรดต่าง ๆ รวมทั้งทำการตรวจสอบอีกมายมายหลายขั้นตอน เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นจุกก๊อกที่มีคุณภาพ ได้ขนาดตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่มีรูหนอนไช และไม่ทำให้กลิ่นหรือรสของไวน์เปลี่ยน

กว่าจะได้จุกก๊อกไวน์สักชั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการดูแลรักษาและตัดเปลือกต้น Cork นั้นต้องใช้เวลาและความชำนาญ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องทำด้วยใจที่เคารพและให้เกียรติธรรมชาติ รู้จักรักษาให้มากเท่ากับที่นำไปใช้ เพื่อให้ต้นไม้เหล่านี้ยังคงมีอยู่ต่อไปในอนาคต

Tokaji เสน่ห์ของไวน์เก่าแก่สัญชาติฮังกาเรียน ประวัติศาสตร์แห่งทวีปยุโรป

ฮังการีคือชื่อของประเทศหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของทวีปยุโรป เป็นอีกประเทศที่มีชื่อเสียงเรื่องภูมิทัศน์ที่สวยงาม การคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติ รวมทั้งมีสถาปัตย์กรรมแนวโกธิคที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยสามารถพบเห็นได้จากอาคารสำคัญ ๆ ของประเทศ อาทิ อาคารรัฐสภาฮังการี แต่นอกจากจุดเด่นเหล่านี้แล้วประเทศฮังการียังมีชื่อเสียงในเรื่อง “ไวน์” อีกด้วย เชื่อว่าสำหรับผู้ที่รักการดื่มไวน์ คงต้องเคยได้ยินชื่อไวน์ขาวรสหวานแบรนด์ “Tokaji” ของที่นี่มาบ้างไม่มากก็น้อย

Noble rot องุ่นเน่าแบบผู้ดี ที่มาของความหวานแสนพิเศษในไวน์ Tokaji

“Tokaji” เป็นไวน์ขาวรสหวานที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก “István Szepsy” คือชื่อของทายาทรุ่นที่ 16 ของตระกูล “Szepsy” ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มผลิตไวน์นี้มาตั้งแต่ประมาณปีค.ศ.1500 หรือยาวนานกว่า 500 ปี จนถึงตอนนี้ตระกูลก็ยังคงทำการผลิตไวน์อยู่ใน “Mád Village” อันเป็นหมู่บ้านโบราณที่มีความสำคัญอีกเช่นกัน เพราะเป็นหมู่บ้านแห่งแรก ๆ ของโลกที่ทำปลูกไร่องุ่นเพื่อผลิตไวน์โดยเฉพาะ จนถึงยุคสมัยของทายาทรุ่นล่าสุด ไร่องุ่นของตระกูลมีขนาดกว้างใหญ่มากถึง 65 เฮกตาร์ และกินพื้นที่กว่า 6 หมู่บ้านในบริเวณใกล้เคียง

István ได้ให้สัมภาษณ์ว่าตระกูลของเขาได้ทำการผลิตไวน์สามประเภทหลัก ๆ ได้แก่ 1.Furmint Dry 2.Szamorodni Sweet และ 3.Six Puttonyos Aszú โดยเขาคิดว่าปัจจัยหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังรสชาติแสนล้ำเลิศของไวน์มาจาก “หินภูเขาไฟ” เพราะไร่องุ่นของเขาได้ทำการปลูกอยู่ด้านบนพื้นดินและหินกว่า 30 ชั้น ที่ประกอบไปด้วยแร่ธาตุจากภูเขาไฟโบราณ ทำให้ได้องุ่นขนาดใหญ่ที่มีรสชาติอร่อย สดใหม่ และสมบูรณ์พร้อมที่จะนำไปใช้ต่อ

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเคล็ดลับสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความหวานของไวน์ Tokaji นั่นคือการใช้ประโยชน์จากเชื้อราที่มีชื่อว่า “Botrytis” หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า “Noble rot” ซึ่งหมายความว่า “การเน่าแบบชนชั้นสูง” เพราะเมื่อองุ่นมีการติดเชื้อก็จะทำให้เมล็ดองุ่นนั้นแห้งและเหี่ยวเฉาลง ส่งผลให้องุ่นมีรสชาติที่หวานมากขึ้น หลังจากนั้นก็จะทำการเก็บเกี่ยว เอาองุ่นติดเชื้อเหล่านั้นไปคั้นน้ำ และหมักในถังไม้จนได้เป็นไวน์ขาวรสหวานแบรนด์ Tokaji นั่นเอง

ไวน์ที่มีค่าเหนือกาลเวลา Tokaji Wine รสชาติที่ผู้คนชนชั้นสูงชื่นชอบ

                ด้วยคุณภาพและรสชาติที่อร่อยระดับโลก ทำให้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไวน์ Tokaji นี้เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในทุก ๆ ยุคสมัย ซึ่งหมายรวมถึงบุคคลในอดีตที่มียศถาบรรดาศักดิ์หลายคน เช่น วอลแตร์, สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 4, ประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สัน, เจ้าชายราโกตซี แฟแร็นตส์ที่ 2, พระเจ้าหลุยส์ที่ 14, แคทเธอรีนมหาราชินี และสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย จะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้ต่างเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติตะวันตกทั้งสิ้น สามารถกล่าวได้ว่า Tokaji นั้นเป็นไวน์เก่าแก่ที่ทรงคุณค่าเสมอไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม

                หากเป็นผู้ที่ชื่นชอบการดื่มไวน์ Tokaji น่าจะเป็นไวน์อีกแบรนด์หนึ่งที่ชีวิตนี้ควรลิ้มลองให้ได้สักครั้ง เพราะสิ่งที่จะได้จากขวดแก้วอาจไม่ใช่แค่รสชาติของน้ำองุ่นหมักเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงรสชาติของเรื่องราวในประวัติศาสตร์อันยาวนานที่แฝงอยู่ในนั้นอีกด้วย

Navis Mysterium ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไวน์พิเศษที่บ่มใต้ทะเลลึกกว่า 75 ฟุต!

บนโลกนี้มีไวน์อยู่หลากหลายยี่ห้อ โดยแต่ละยี่ห้อก็มีเอกลักษณ์ในการผลิตไวน์ที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านของวัตถุดิบอย่างพันธุ์ขององุ่น, วิธีการหมักและบ่ม, ภาชนะที่ใช้ใส่ขณะหมักและบ่ม, จำนวนปีในการบ่ม และปัจจัยด้านอื่น ๆ ที่สุดท้ายแล้วจะส่งผลต่อคุณลักษณะของไวน์ “Navis Mysterium” คือชื่อของไวน์ยี่ห้อหนึ่งที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น ไม่เหมือนใคร และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยกรรมวิธีการบ่มไวน์ใต้ท้องทะเลลึกกว่า 75 ฟุต หรือประมาณเกือบ ๆ 23 เมตรเลยทีเดียว

กระบวนการบ่มไวน์ กระบวนการสำคัญในรูปแบบของ Navis Mysterium

                “Aging of Wine” หรือ “อายุของไวน์” มาจากการบ่มไวน์ ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งที่สำคัญในการผลิตไวน์ เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยอุณหภูมิที่เหมาะสมและระยะเวลาที่ยาวนานมากพอ เพื่อปล่อยให้ไวน์ตกตะกอนจนน้ำมีความใส แต่สีมีความเข้ม รวมทั้งมีกลิ่นและรสชาติที่อร่อยขึ้น ซึ่งเกี่ยวเนื่องมาจากปฏิกิริยาทางเคมีเกี่ยวกับน้ำตาลและกรด จนได้เป็นไวน์ที่มีคุณภาพและมีราคาแพง แน่นอนว่าประเภทของไวน์ส่งผลต่อกระบวนการผลิต เช่น ไวน์แดงมักจะทำการหมักและบ่มในถังโอ็คเพื่อให้ได้กลิ่นและรสที่ดี

                Edi Bajurin จากประเทศโครเอเชีย คือผู้ที่ชื่นชอบการดำน้ำและการดื่มไวน์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเกิดไอเดียในการนำเอาสิ่งที่ชอบทั้งสองอย่างมารวมกัน ทำให้เกิดเป็นไวน์แดงยี่ห้อ “Navis Mysterium” ของตนเองขึ้นมา เอกลักษณ์ที่น่าสนใจของไวน์ยี่ห้อนี้ คือกระบวนการบ่มไวน์แดงที่ต่างจากธรรมเนียมโบราณทั่วไป ด้วยการบ่มใต้ทะเลลึกกว่า 75 ฟุตจากผิวน้ำ โดยนำเอาขวดวางเรียงใส่ตะแกรงที่ตั้งอยู่บนพื้นทะเล เพื่อกันไม่ได้น้ำทะเลพัดพาไป

Edi ให้สัมภาษณ์ว่าไวน์ของเขาจะทำการบ่มอย่างน้อย 1 ปีครึ่ง – 2 ปี และจะมีการดำน้ำลงมาเช็คไวน์ทุก ๆ 15 วัน เพื่อตรวจดูคุณภาพและดูว่ามีน้ำทะเลเข้าไปในขวดหรือไม่ นอกจากนี้เขายังให้เหตุผลของกระบวนการบ่มว่า ทะเลในความลึกเท่านี้จะมีอุณหภูมิที่เย็นกำลังดี และที่สำคัญคือเรื่องของ “เสียง” เขาเชื่อว่าการเก็บไวน์ไว้ใต้ทะเลจะทำให้ไวน์ได้อยู่ในความเงียบ ไม่ถูกรบกวนด้วยคลื่นเสียงเหมือนปกติ ส่งผลให้เกิดเป็นไวน์ที่มีคุณภาพและรสชาติดีกว่าปกติ

แพ็กเกจแปลกประหลาด Navis Mysterium เพิ่มจุดขายพิเศษด้วยเครื่องปั้นดินเผา

                จุดขายต่อมาที่น่าสนใจถัดจากกระบวนการบ่มคือเรื่องของบรรจุภัณฑ์ เพราะไวน์ของ Edi จะทำการบรรจุใส่ขวดแก้ว แล้วใส่ไว้ในเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเรียกว่า “Amphora”  อีกที ก่อนจะนำลงไปบ่มใต้ทะเลลึกเป็นระยะเวลานาน ทำให้เมื่อนำขึ้นมาแล้วก็จะมีหอยหรือเพรียงทะเลต่าง ๆ มาเกาะอยู่ตามบรรจุภัณฑ์ สร้างสีสันและจุดเด่นพิเศษให้กับไวน์ “Navis Mysterium” จนกลายเป็นของฝากที่นักท่องเที่ยวหลายคนเลือกซื้อ

                “ยิ่งเก่า ก็ยิ่งดี” คงเป็นวลีที่คุ้นหูเกี่ยวกับคุณภาพของไวน์ แต่คงจะดียิ่งกว่าถ้าเป็นไวน์ที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจอื่น ๆ ด้วย เหมือนที่ “Navis Mysterium” สร้างขึ้นมาผ่านกระบวนการบ่มและการบรรจุในภาชนะที่มีความพิเศษ ทำให้สามารถเรียกความสนใจจากผู้คนที่พบเจอได้เสมอ

เลือกไวน์ทำอาหารให้ถูกประเภท เพิ่มรสชาติที่ลุ่มลึกขึ้นให้อาหารจานโปรด

ความจริงแล้วการทำอาหารอาจเรียกเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งก็ว่าได้ เพราะสำหรับพ่อครัวหรือแม่ครัวมืออาชีพ การทำอาหารคงเป็นมากกว่าการนำเอาวัตถุดิบที่มีมายำรวมกันแล้วปรุงรสแบบง่าย ๆ หากแต่เป็นการดึงเอารสชาติที่ดีที่สุดของวัตถุดิบนั้นออกมา ด้วยวิธีการที่เหมาะสมที่สุด การใช้ “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ในการปรุงรสอาหาร เป็นศาสตร์ที่มีมานานแล้วทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก เช่น การใช้มิรินของประเทศญี่ปุ่น, การใช้เหล้าจีนของประเทศจีน, หรือการใช้ “ไวน์” ของประเทศในทวีปยุโรปทั้งหลาย โดยไวน์นั้นมีหลายประเภท อีกทั้งยังสามารถใส่ได้ในทั้งอาหารคาวและหวาน

อยากให้อาหารออกมาอร่อย ใช้ Regular Drinking Wines ดีกว่า Cooking Wines

“ไวน์” เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งที่ผู้คนจากทั่วโลกนิยมดื่มกัน นอกจากนี้ก็ยังนิยมนำมาใช้ในการทำอาหารทั้งคาวและหวานอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นได้ว่าไวน์ที่วางขายอยู่ในตลาด จะมีทั้ง “Regular Drinking Wines” และ “Cooking Wines” หรือที่หมายความว่า “ไวน์ที่ใช้สำหรับดื่มทั่วไป” และ “ไวน์ที่ใช้สำหรับการทำอาหาร” แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ ความจริงแล้วการใช้ไวน์สำหรับดื่มในการทำอาหาร จะได้รสชาติที่ดีกว่าการใช้ไวน์ทำหรับทำอาหารโดยเฉพาะ

เมื่อคิดตามแล้วอาจทำให้เกิดความสับสน แต่ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไวน์สำหรับดื่มจะมีรสชาติและคุณภาพที่ดีกว่าไวน์สำหรับทำอาหาร หากใครเคยลองชิมไวน์สำหรับทำอาหารจะพบว่ามีรสชาติที่เค็มมากกว่าไวน์ปกติ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าไวน์สำหรับทำอาหาร จะมีโซเดียมและสารกันบูดมากกว่าไวน์สำหรับดื่ม เพื่อให้สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ในบางครั้งไวน์สำหรับทำอาหารก็ทำมาจากไวน์ที่ไม่ผ่านมาตรฐานปกติ

ดังนั้นเราจึงควรใช้ไวน์ที่ชอบดื่มในการปรุงรส เพื่อให้ได้รสชาติอาหารที่อร่อยลุ่มลึกมากกว่า เช่นเดียวกับคำกล่าวที่ว่า “Don’t cook with something you won’t drink” หรือที่แปลว่า “อย่าทำอาหารด้วยสิ่งที่เราจะไม่ดื่ม” นั่นเอง    

ไวน์แบบไหนเหมาะกับอาหารจานใด เพิ่มความเข้าใจเพื่อการเลือกใช้ให้ถูกต้อง

                นอกจากการเลือกใช้ไวน์ที่มีคุณภาพในการทำอาหารอย่าง “ไวน์สำหรับดื่ม” แล้ว การเลือกใช้ไวน์ให้ถูกประเภทก็เป็นเรื่องสำคัญ ต่อไปจึงจะกล่าวถึงไวน์ 6 ประเภทที่เหมาะสมกับการทำอาหารจานต่าง ๆ ดังนี้

  1. Dry Red & White Wines สำหรับทำสตูว์เนื้อ, ครีมซุป, อาหารทะเล หรือทำเป็นซอสพื้นฐาน
  2. Dry Nutty/Oxidized Wines สำหรับทำน้ำเกรวี่เห็ดเพื่อราดบนเนื้อไก่และหมู หรือใช้กับเนื้อปลาและกุ้ง
  3. Sweet Nutty/Oxidized Wines สำหรับทำน้ำเชื่อมเพื่อขนมหวาน, คาราเมล หรือไอศกรีมวานิลลา
  4. Sweet Fortified Red Wines (Port) สำหรับทำซอสช็อกโกแลต, เค้กช็อกโกแลต หรือซอสของสเต็ก    
  5. Sweet White Wines สำหรับทำลูกแพร์ตุ๋นไวน์, ซอสหวานในทาร์ตผลไม้ หรือซอสเนยหวานเพื่อราดเนื้อปลาและกุ้ง
  6. Rice Wine สำหรับหมักเนื้อสัตว์ต่าง ๆ หรือทำซอสบาร์บีคิว

จะเห็นได้ว่ารสชาติและคุณลักษณะของไวน์แต่ละประเภท มีความสอดคล้องกับเมนูอาหารที่จะทำ ดังเช่นที่ปรากฏด้านบนว่าไวน์ที่จะนำมาทำขนมก็จะเป็นประเภทที่มีรสชาติหวาน เป็นต้น  

ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทของเครื่องดื่มหรือเครื่องปรุงรส ไวน์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ทุกคนไม่ควรพลาด ด้วยเอกลักษณ์ทั้งด้านกลิ่น รสชาติ และรสสัมผัส เลือกใช้ไวน์ที่ชอบกับประเภทอาหารที่ใช่ เพื่อสร้างรสชาติที่ถูกปากให้กับอาหารจานโปรดของคุณ

Wine with girl มาแนะนำไวน์ที่เหมาะกับสาว ๆ มือใหม่หัดดื่มไวน์กัน

                ไวน์ถือเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผู้หญิงชื่นชอบ เพราะให้ความรู้สึกที่มีเสน่ห์ มีรสนิยม และสามารถใช้ในการเข้าสังคมได้ หรืออาจจะเป็นความชอบโดยส่วนตัว และที่สำคัญก็คือการดื่มไวน์ในปริมาณที่พอเหมาะนั้นให้ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้ดีกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น เพราะในไวน์มีสารจำพวกต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสามารถช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ เดี๋ยวนี้จึงจะเห็นสาว ๆ หลายคนเลือกที่จะเริ่มหันมาดื่มไวน์แทนการดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่นกันมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่สำหรับสาว ๆ คนไหนที่กำลังสนใจอยากจะมาลิ้มลองไวน์ดูบ้าง วันนี้เราจะมาแนะนำไวน์ที่เหมาะกับมือใหม่กัน

อย่างที่รู้กันว่าร่างกายของผู้หญิงนั้นค่อนข้างบอบบางกว่าคุณผู้ชาย รวมไปถึงการสลายแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปด้วย ทำให้ผู้หญิงมักจะดื่มได้น้อยกว่าและมึนเมาได้มากกว่านั่นเอง เพราะฉะนั้นไวน์ที่เหมาะกับคุณผู้หญิงโดยเฉพาะมือใหม่หัดดื่มจึงควรเป็นไวน์ที่ปริมาณแอลกอฮอล์ไม่มากจนเกินไปและมีรสชาติที่ค่อนข้างดื่มง่ายก่อน อย่างไวน์ขาวแบบต่าง ๆ ที่จะมีรสชาติที่เปรี้ยวหวานนำมากกว่าไวน์แดง ที่จะมีรสฝาดมากกว่า หรือจะลองเป็นสปาร์คกลิ้งไวน์ แชมเปญ หรือไวน์โรเซ่ที่เป็นไวน์มีฟองและให้ความรู้สึกที่สดชื่น กลิ่นหอม และดื่มง่ายซึ่งมีหลากหลายแบบให้ได้เลือกลิ้มลอง และหากไม่อยากลองดื่มเฉพาะไวน์อย่างเดียว แนะนำให้ลองดื่มคู่กับอาหาร ผลไม้ หรือขนมที่เข้ากันดู เพราะไวน์จำพวกไวน์ขาวหรือสปาร์คกลิ้งไวน์จะสามารถทานกับอาหารที่รสชาติไม่หนัก อาหารเบา ๆ เช่น สลัด หรืออาหารจำพวกเนื้อปลาได้ดี จึงเหมาะเป็นเครื่องดื่มคู่กับอาหารสำหรับสาว ๆ ที่กำลังดูแลสุขภาพเป็นพิเศษที่ไม่อยากทานอาหารมื้อหนักจนเกินไปได้เป็นอย่างดี แต่หากสาว ๆ คนไหนที่ชอบรสชาติที่หนัก ๆ ขึ้นมาหน่อย ก็อาจจะลองเลือกไวน์แดงมาจิบดูก็ได้ ก็จะได้รสชาติที่แตกต่างออกไปจากไวน์ขาวโดยเฉพาะรสสัมผัสที่จะมีความฝาดและมีความเข้มข้นไปอีกแบบ

                และสำหรับสาว ๆ มือใหม่นั้นควรเริ่มต้นที่การดื่มที่วันละประมาณ 1 – 2 แก้วก่อน เพราะอย่าลืมว่าอย่างไรแล้วไวน์ก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ หากดื่มมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีได้ เพราะฉะนั้นควรเริ่มต้นที่ปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป แล้วถึงค่อย ๆ เพิ่มปริมาณไปทีละนิดจะดีว่า เพราะเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการดื่มไวน์ก็คือการค่อย ๆ ดื่มเพื่อให้ได้รับรู้ถึงรสสัมผัสทั้งกลิ่นและรสชาติที่แท้จริงของไวน์นั่นเอง รู้แบบนี้แล้วต่อไปสาว ๆ ก็อย่าลืมไปลองเลือกไวน์ที่แนะนำไปมาดื่มดูได้เลย รับรองว่าจะต้องหลงรักเครื่องดื่มสุดคลาสสิกที่เรียกว่าไวน์นี้อย่างแน่นอน

Category : สาระน่ารู้

Tag : ดื่มไวน์, เลือกไวน์, ไวน์ขาว

https://bit.ly/2EocZIG

แนะนำวิธีการเลือกไวน์ดื่มคู่กับอาหารจานเนื้อ เติมเต็มมื้ออาหารให้เลิศรสยิ่งขึ้น

เนื้อปรุงสุกหอม ๆ เป็นอาหารจานอร่อยที่ใครหลาย ๆ คนชื่นชอบ และหากคุณกำลังมองหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้ากับอาหารจานเนื้อได้เป็นอย่างดี ไวน์จะต้องเป็นเครื่องดื่มชนิดแรก ๆ ที่นึกถึง เพราะรสชาติที่ซับซ้อนของไวน์จะไปเสริมรสชาติแสนอร่อยของเนื้อได้เป็นอย่างดี แต่อาหารจานเนื้อแต่ละจานก็เข้ากันได้ดีกับไวน์ที่แตกต่างกันไป เรามีเคล็ดลับการเลือกไวน์ให้เหมาะสมกับอาหารจานเนื้อแต่ละจานมาฝาก มีอะไรบ้าง มาดูกัน

การเลือกไวน์ที่เหมาะกับ สเต็กเนื้อ

เคล็ดลับการเลือกไวน์ที่เหมาะสำหรับ สเต็กเนื้ออร่อย ๆ ก็คือไวน์ที่มีแทนนินผสมค่อนข้างสูง ซึ่งจะค่อนข้างมีรสฝาดและเข้มข้น เข้าไปเสริมความชุ่มช่ำของเนื้อได้อย่างลงตัว

สเต็กโดยทั่วไปจะมีการปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย ดังนั้นหากคุณต้องการจะชูรส สเต็กเนื้อของคุณ ควรจะเลือกไวน์ที่มีรสจัดจ้าน มีกลิ่นอายของเครื่องเทศเข้มข้นเช่นไวน์ Shiraz จากออสเตรเลีย ไวน์ Syrah จากแคลิฟอร์เนีย หรือหากคุณอยากทานไวน์โลกเก่าแสนคลาสสิคจากจากฝรั่งเศส ก็สามารถเลือกดื่มไวน์ Châteauneuf-du-Pape คู่กับ สเต็กได้

การเลือกไวน์ที่เหมาะกับแฮมเบอร์เกอร์

แฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารจานด่วนที่ใคร ๆ ก็โปรดปราน เพราะผู้ที่ทานสามารถเลือกเครื่องที่จะอยู่ภายในแฮมเบอร์เกอร์ได้ตามใจ ทำให้แฮมเบอร์เกอร์มีรสชาติอร่อยถูกปากคนทานอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อแฮมเบิร์ก เชดด้าชีส หัวหอม มะเขือเทศหรือผักดอง หากคุณต้องการจะเลือกไวน์ที่เหมาะสำหรับอาหารที่มีรสชาติซับซ้อนมากมายอย่างแฮมเบอร์เกอร์ ก็ควรที่จะต้องเลือกไวน์ที่มีรสชาติอ่อน ๆ ไม่หนักหรือซับซ้อนมาก ยกตัวอย่างเช่น ไวน์ Mourvèdre Rosé หรือ Côtes du Rhone

หากคุณอยากจะเลือกแฮมเบอร์เกอร์และไวน์สำหรับทานคู่กัน เราแนะนำให้เลือกแฮมเบอร์เกอร์ไส้ชีส halloumi ซอสบาร์บีคิวและหัวหอมย่าง ทานคู่กับไวน์ Syrah, Malbec ไวน์ Zinfandel หรือ Cabernet Sauvignon ที่มีแทนนินค่อนข้างสูงและมีความเป็นกรดหรือมีรสเปรี้ยว สามารถตัดความหวานของหัวหอมและซอสบาร์บีคิวได้ดี

เนื้อย่าง

เนื้อย่างเป็นอาหารจานเนื้อที่มีกลิ่นหอมที่ชวนทานและรสชาติอร่อยจนเกินจะห้ามใจ โดยรสชาติอันโดดเด่นของเนื้อย่างก็คือเนื้อที่มีรสชาติเข้มข้นไปด้วยซอสเกรวี่เข้มข้น โดยไวน์ที่เหมาะกับเนื้อย่างที่สุดก็คือไวน์ที่มีความเข้มข้นไม่แพ้กัน

แนะนำให้เลือกไวน์ Cabernet Sauvignon จากแคลิฟอร์เนียที่มีอายุประมาณ 5 – 10 ปี หรือไม่ก็ไวน์ Cab/Shiraz จากออสเตรเลียก็เหมาะกับเนื้อย่างไม่แพ้กัน หากคุณอยากดื่มไวน์โลกเก่าจากประเทศแถบยุโรป ลองดื่ม Old Vine Barbera หรือ Grenache ที่มีอายุ 5 – 10 ปี โดยไวน์ที่ถูกเก็บมาเป็นระยะเวลานาน จะทำให้รสชาติมีความเข้มข้นและหนักแน่นมากยิ่งขึ้น

อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าไวน์ที่เหมาะกับเนื้อนั้นส่วนมากจะเป็นไวน์แดงที่มีรสชาติเข้มข้น มีความฝาดและมีรสเปรี้ยวตามเล็กน้อย โดยรสชาติแบบนี้จะเข้าไปเสริมความหวานอร่อยตามธรรมชาติของอาหารจานเนื้อ ช่วยยกระดับให้มื้ออาหารจานเนื้อของคุณให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น หากคุณเลือกทานอาหารจานเนื้อในคราวหน้า อย่าลืมลองสั่งไวน์ที่เหมาะสมไปดื่มคู่กันดู รับรองว่าไม่ผิดหวัง

ชวนชมโรงบ่มไวน์ชั้นเลิศที่ตั้งอยู่ในประเทศในแถบทวีปเอเชีย ชิมเพลินแบบไม่ต้องเดินทางไกล

หากคุณนึกถึงไวน์ ประเทศในแถบเอเชียอาจจะไม่ใช่ประเทศแรก ๆ ที่คุณนึกถึง แต่จริง ๆ แล้ว ในทวีปเอเชียก็มีโรงบ่มไวน์ที่รังสรรค์ไวน์ที่มีรสชาติอร่อยและคุณภาพเยี่ยมอยู่หลายที่ ซึ่งไม่แพ้ไวน์ตัวดังจากฝรั่งยุโรปเช่นเดียวกัน โดยประเทศในเอเชียที่มีภูมิอากาศที่เหมาะสมในการปลูกองุ่นสำหรังโรงบ่มไวน์ สามารถผลิตไวน์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงก็คือพม่า ญี่ปุ่นและอินเดีย

โรงบ่มไวน์ Aythaya Vineyard ในประเทศพม่า

มาเริ่มกันที่โรงบ่มไวน์ในเอเชียที่แรกที่อยากจะแนะนำ นั้นก็คือ Aythaya Vineyard ในประเทศพม่า โดยโรงบ่มไวน์นี้ตั้งขึ้นโดย Bert Morsbach ตั้งแต่ปี 1999 ในรัฐ Shan ที่อยู่ทางใต้และใกล้กับทะเลสาบ Inle ที่ใช้สำหรับทำการเพาะปลูกโดยเฉพาะ โดยสวนที่ใช้ปลูกองุ่นของที่นี้จะมีดินปูนและสภาพอากาศโดยรอบที่เหมาะสมกับการนำไปผลิตไวน์นั่นเอง

ไวน์ที่เป็นตัวซิกเนเจอร์ของโรงบ่มไวน์ Aythaya Vineyard ก็จะมีไวน์แดงและไวน์ขาว Aythaya ซึ่งเป็นไวน์ที่เหมาะกับดื่มคู่กับอาหารท้องถิ่นของพม่า

โรงบ่มไวน์ Sula Vineyards ในประเทศอินเดีย

โรงบ่มไวน์ที่ถูกก่อตั้งโดย Rajeev Samant ในปี 1999 โดย Rajeev ได้เล็งเห็นศักยภาพในผืนดินที่เป็นมรดกของครอบครัวที่ตั้งอยู่ใน Nashik ประเทศอินเดีย โดยที่ดินในแถบนี้มีชื่อเสียงในเรื่องของการปลูกองุ่นแบบทานสด สำหรับดินใน Nashik นั้นเป็นดินจากภูเขาไฟ ตั้งแต่หินบะซอลต์จนถึงดินแดงและโคลนที่เหนียวข้น เมื่อรวมกับอากาศเย็น ๆ ของบริเวณนี้ก็จะทำให้กลายเป็นจุดที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการปลูกองุ่นสำหรับการทำไวน์

จึงไม่แปลกใจเลยที่โรงบ่มไวน์ Sula Vineyards กลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วและถูกขนานนามว่า Napa Valley แห่งประเทศอินเดีย โดยมีการผลิตไวน์ตั้งแต่ไวน์แดง ไวน์ขาว ไวน์โรส ไปจนถึงไวน์ซ่าหรือ Sparkling wine นักท่องเที่ยวสามารถมาทัวร์รอบ ๆ โรงบ่มไวน์ได้ โดยทัวร์นี้จะพาคุณไปเยี่ยมชมการผลิตไวน์แต่ขั้นตอนอย่างใกล้ชิด นอกจากนั้นที่โรงบ่มไวน์นี้ยังมีการจัดคอนเสิร์ตในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีอีกด้วย

โรงบ่มไวน์ Château Mercian ในประเทศญี่ปุ่น

ถึงแม้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประเทศญี่ปุ่นก็คือสาเก แต่ในจังหวัด Yamanashi ในญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ใกล้กับฐานของภูเขาฟูจิก็มีโรงบ่มไวน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นเดียวกัน โดยสถานที่ที่บุกเบิกอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ในประเทศญี่ปุ่นก็คือโรงบ่มไวน์ Château Mercian ที่ตั้งขึ้นในปี 1970 โดยโรงบ่มไวน์นี้ได้รับรางวัล “สุดยอดโรงบ่มไวน์แห่งปี” จากรีวิวไวน์เอเชียปี 2016

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนโรงบ่มไวน์นี้สามารถไปทัวร์โรงบ่มไวน์อย่างใกล้ชิด พร้อมกับชิมไวน์ Koshu Kiiroka ซึ่งเป็นไวน์ขาวที่มีรสชาติสดชื่นหรือไวน์ Kikyogahara Merlot ที่มีรสชาติเข้มข้นเย้ายวน นอกจากนั้น นักท่องเที่ยวยังสามารถเข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ไวน์ที่มีการจัดแสดงกรรมวิธีการบ่มไวน์ตั้งแต่โบราณ ซึ่งมีความน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก

ถ้าคุณยังไม่เคยลองชิมไวน์จากประเทศในแถบเอเชียมาก่อนละก็ ควรจะลองดูสักครั้งเมื่อคุณได้มีโอกาสไปเที่ยวในประเทศเหล่านี้ เพราะนอกจากจะมีคุณภาพยอดเยี่ยมแล้ว ไวน์แต่ละประเทศจะถูกผลิตมาให้เหมาะกับอาหารในประเทศนั้น ๆ อีกด้วย

เคล็ดลับการจับคู่ไวน์กับอาหารที่มีรสจัด

โดยปกติแล้ว สาเหตุที่ไวน์ไม่เหมาะกับอาหารที่มีรสจัด ก็เป็นเพราะรสชาติที่ซับซ้อนและเข้มข้นของไวน์ ที่มักจะไปทำลายรสชาติที่ซับซ้อนอยู่แล้วของอาหารที่มีรสจัด แต่ก็มีไวน์บางตัว ที่มีรสชาติเบา ๆ และเหมาะกับอาหารรสจัดเป็นที่สุด โดยสิ่งเหล่านี้ก็คือสิ่งที่คุณควรคำนึงไว้หากต้องการจะเลือกไวน์ที่เหมาะกับอาหารรสจัด

1.หลีกเลี่ยงไวน์ที่มีกลิ่นโอ๊กและแอลกอฮอล์

ไวน์ที่เหมาะกับอาหารที่มีรสชาติซับซ้อนก็คือไวน์ที่มีแอลกอฮอล์ปานกลางไปถึงต่ำ คุณควรเลือกไวน์ที่มีรสชาติเบา สดชื่นและมีความเป็นกรด ซึ่งจะช่วยชูรสชาติที่เผ็ดร้อนและเข้มข้นของอาหารที่มีรสชาติเผ็ดจัดได้เป็นอย่างดี ราวกับมะนาวที่ปรุงรสชาติของอาหาร เช่นเดียวกันกับรสชาติของโอ๊กในตัวไวน์ ที่จะไปทำให้รสชาติของอาหารรสจัดนั้นด้อยลงไป ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงไวน์ที่มีกลิ่นโอ๊กเด่นเกินไปจะดีที่สุด

2. เลือกไวน์ที่มีกลิ่นผลไม้และไม่มีรสฝาด

ควรเลือกไวน์ขาวที่มีกลิ่นหอม มีความฝาดน้อยที่สุดและมีรสชาติผลไม้ที่โดดเด่น ซึ่งไวน์ที่มีรสชาติแบบนี้เหมาะกับอาหารที่มีรสจัดจากเอเชียมากที่สุด โดยความหวานจากน้ำตาลที่เหลืออยู่ในไวน์จะสร้างรสชาติที่ตัดกับความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศ ดึงสมดุลรสชาติของอาหารให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

3.เพิ่มรสชาติของอาหารด้วยไวน์แดงที่มีรสชาติเบา

สำหรับไวน์แดงที่มีรสชาติจัดจ้านก็สามารถดื่มคู่กับอาหารรสจัดได้เช่นเดียวกัน แม้จะมีแทนนินที่ทำให้มีรสฝาดและมีแอลกอฮอล์ที่ค่อนข้างสูง ที่จะเข้าไปเน้นความขมของอาหารและช่วยทำให้อาหารมีรสชาติที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยเคล็ดลับในการเลือกไวน์แดงที่เหมาะกับอาหารก็คือควรจะมีความเป็นกรดอยู่มากพอสมควร เพื่อทำให้ตัวไวน์เบา สามารถดื่มคู่กับอาหารรสจัดได้โดยไม่ทำให้รสชาติโดยรวมหนักจนเกินไป

แนะนำไวน์ที่เหมาะกับอาหารที่มีรสจัด

แนะนำให้หลีกเลี่ยงไวน์ที่มีแอลกอฮอล์และแทนนินมากเกินไปอย่าง Cabernet Sauvignon, Shiraz และ Merlot พอ ๆ กับ Chardonnay ที่มีกลิ่นโอ๊กแรงจนเกินไป

ในไวน์ขาวที่มีกลิ่นผลไม้ที่น่าสนใจก็มี Albariño จาก Rías Baixas ในสเปนไวน์ Grüner Veltliner จากออสเตรีย และ Vouvray จาก Loire valley ในฝรั่งเศส นอกจากนั้นก็ยังมีไวน์ Gewürztraminer และ Viognier ที่แม้จะไม่มีรสเปรี้ยวสดชื่นมากมายนัก แต่ก็มีกลิ่นหอม ๆ และรสชาติผลไม้ เหมาะสำหรับอาหารที่มีรสเผ็ดที่สุด

และสำหรับไวน์แดงที่ค่อนข้างเหมาะดื่มคู่กับอาหารที่มีรสเผ็ดก็มี Barbera จากอิตาลี ไวน์ Beaujolais จากประเทศฝรั่งเศส โดยไวน์เหล่านี้มีแทนนินค่อนข้างต่ำ พร้อมรสผลไม้สดชื่นและความเป็นกรดค่อนข้างต่ำ เหมาะกับอาหารที่มีรสเผ็ด

จริง ๆ แล้วอาหารทุกประเภทก็เหมาะกับไวน์ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเราควรจะเลือกไวน์ให้เหมาะสมกับอาหารที่เราจะทานมากที่สุด เพื่อช่วยให้อาหารมื้อนั้นเป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด ถ้าไม่เชื่อ ลองจับคู่ไวน์กับอาหารรสจัดที่คุณชื่นชอบดู รับรองว่าไม่ผิดหวัง

แนะนำไวน์รสชาติดีงาม เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบดื่มไวน์

ไวน์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ด้วยเอกลักษณ์โดดเด่น เป็นเครื่องดื่มที่ทำมาจากผลไม้ รสชาติหอมหวาน กลิ่นหอมองุ่นเย้ายวน พร้อมทั้งยังมีรสชาติเข้ากับอาหารแทบจะทุกประเภท แต่ด้วยความที่ไวน์มีรสชาติฝาดอย่างชัดเจน อาจจะทำให้ใครหลายคนไม่ค่อยชอบดื่มไวน์ได้ เรามีเคล็ดลับการเลือกไวน์ พร้อมทั้งไวน์ที่อยากจะแนะนำให้ผู้ที่ไม่ชอบดื่มไวน์ได้ลอง เผื่อจะเปลี่ยนใจหันมาชอบไวน์กัน

ควรเลือกไวน์ที่มีรสหวานหรือรสผลไม้ดี?

องุ่นที่นำมาผลิตไวน์มีกลิ่นหอมจากผลไม้ที่โดดเด่นก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไวน์ทุกชนิดจะมีความหวานเหมือนกับผลไม้ นั้นก็หมายความว่าไวน์แต่ละตัว แต่ละชนิด แต่ละแหล่งกำเนิด ต่างก็มีความหวานและรสชาติเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป ตัวไวน์เองถูกอธิบายรสชาติโดยรวมไว้ว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีรสออกหวาน ฝาดปนหวานเล็กน้อย ไปจนถึงฝาด ทางเทคนิคแล้ว รสหวานเกิดจากน้ำตาลที่คงอยู่ในตัวไวน์ ซึ่งจะมีตั้งแต่ระดับ 0 = ฝาดที่สุด ไปจนถึง 10 = หวานที่สุด

ดังนั้น หากคุณไม่ชอบดื่มไวน์เพราะรสฝาดที่ไม่เป็นมิตรกับลิ้น เราขอแนะนำตัวอย่างไวน์แดง ไวน์ขาว ที่มีรสหวานหอมราวกับผลไม้ให้ลองชิมกัน มีอะไรบ้าง มาดูกันเลย

1.Cavit Moscato

Moscato กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้ ไวน์ตัวนี้เหมาะสำหรับนักดื่มไวน์มือใหม่เป็นที่สุด เราขอแนะนำไวน์จาก Moscato สไตล์อิตาเลี่ยน เพราะว่ามันมีทั้งรสหวานและรสฝาดนิด ๆ ที่แสนจะสมบูรณ์แบบและลงตัว

2.Chateau Ste Michelle Riesling

ไวน์ที่มีรสผลไม้โดดเด่น ผสมผสานระหว่าง Riesling และ Washington ซึ่งปลูกจาก Columbia Valley ทำให้ได้ไวน์ Chateau Ste Michelle กลายเป็นไวน์ที่ถูกผลิตขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้นและสดชื่น มีรสฝาดปานกลาง โดยองุ่นสายพันธุ์ Riesling จะทำให้ได้ไวน์ที่มีความเป็นกรดค่อนข้างสูง ช่วยขับรสหวานให้โดดเด่นขึ้น

3.Cavit Roscato

Roscato เป็นไวน์แดงที่เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับรสชาติของไวน์ ไวน์ตัวนี้จะมีความหวาน และมีความซ่าเล็กน้อย จากดินแดน Lombardy ที่อยู่ทางภาคเหนือของอิตาลี โดยไวน์ตัวนี้ผลิตจากองุ่นทั้งหมด 3 สายพันธุ์ ทั้ง Croatina, Teroldego และ Lagrein ทำให้ได้ไวน์ที่เหมาะกับอาหารเกือบทุกประเภท

4.Cabernet Sauvignon

ไวน์ที่มีความเข้มข้น ถึงแม้ว่าจะมีรสฝาดและความเป็นกรดเล็กน้อย แต่ก็มีกลิ่นหอมที่โดดเด่นของผลไม้ ตั้งแต่เบอร์รี่นานาชนิดไปจนถึงลูกพลัม Cabernet Sauvignon ยังมีกลิ่นหอมของวานิลา ช็อกโกแลต มะพร้าวและเครื่องเทศสำหรับอบขนม ขึ้นอยู่กับว่าผลิตจากที่ไหน บางคนอาจจะคิดว่าไวน์ตัวนี้มีรสเข้มไปสักหน่อย แต่ก็สมกับเป็นไวน์ดี

แม้ว่าไวน์เหล่านี้จะมีกลิ่นหวานของผลไม้ค่อนข้างสูง มีรสฝาดอันเป็นรสชาติเฉพาะตัวของไวน์ต่ำ แต่ก็ยังมีความเป็นไวน์อยู่ดี หากคุณได้ลิ้มลองไวน์เหล่านี้แล้วและไม่ค่อยชอบ ก็อาจจะหมายความว่าคุณอาจจะไม่เหมาะกับการดื่มไวน์จริง ๆ ก็ควรลองดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่นแทนการดื่มไวน์ เช่น เบียร์ วิสกี้ หรือวอดก้า เป็นต้น

มือใหม่อยากลองดื่มไวน์มาทางนี้ แนะนำการเลือกไวน์และไวน์สำหรับเริ่มต้นดื่มไวน์

เมื่อคุณเป็นมือใหม่ในวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยอดนิยมอย่างไวน์ คุณอาจจะสับสนและมึนงงกับไวน์ชนิดต่างๆ ยี่ห้อของไวน์ ประเทศที่ผลิตและศัพท์ทางเทคนิคต่างๆ มากมาย จริงๆ แล้วคุณไม่จำเป็นที่จะต้องจำคำศัพท์อะไรมากนัก เพียงแค่ต้องทำความเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้

ความหวาน ไวน์ที่มีความหวานเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์ หากคุณอยากลองชิมไวน์ที่มีรสหวาน ลองเลือกไวน์ที่มีเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ค่อนข้างสูงสักหน่อยเพื่อที่จะช่วยดึงความหวานของไวน์ออกมาได้ดียิ่งขึ้นแม้จะไม่ได้มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบมากนักก็ตาม

แทนนิน เป็นสารที่พบหลัก ๆ ในไวน์แดงและมักจะติดอยู่ที่ฟันของคุณเหมือนกับหมากฝรั่งหลังจากที่คุณกลืนไวน์ลงไป และทิ้งรสขมติดลิ้น ซึ่งรสชาติแบบนี้อาจจะทำให้ผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์ไม่ค่อยประทับใจกับไวน์ไปเลย ดังนั้นหากคุณเริ่มต้นดื่มไวน์ ก็ควรที่จะเลือกไวน์ที่มีแทนนินต่ำก่อน

ความเป็นกรด ไวน์ทำจากองุ่นซึ่งเป็นผลไม้ ในผลไม้นั้นมีกรดเป็นส่วนประกอบ ทำให้ได้รสชาติที่สดชื่น ลองถามตัวเองก่อนว่าคุณชอบเครื่องดื่มที่มีรสจัดหรือมีความเปรี้ยวมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะเป็นตัวช่วยในการเลือกดื่มไวน์ที่เหมาะกับคุณมากที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์มักจะไม่ชอบไวน์ที่มีความเป็นกรดหรือมีรสเปรี้ยวมากนัก

ไวน์ 3 ตัวที่เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์

  1. Prosecco

เป็นไวน์แบบ sparkling wine หรือไวน์ซ่าที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Glera โดยจะเป็นไวน์ขาวที่มีฟองฟู่ข้างใน มีรสผลไม้ชัดเจนและมีความหวานเล็กน้อย พร้อมกับรสชาติที่สดชื่นขององุ่นเขียวและองุ่น ยิ่งไปกว่านั้น Prosecco ไม่มีแทนนินและมีความเป็นกรดต่ำ

  1. Chardonnay

Chardonnay เป็นชื่อองุ่นขาวและไวน์ที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ดังกล่าว โดยไวน์ที่ทำจากองุ่น Chardonnay จะมีรสแอปเปิ้ลและลูกแพร์ พร้อมกับกลิ่นเนย ขนมปังปิ้งและต้นโอ๊ก ปกติแล้ว Chardonnay จะมีรสฝาด ไม่ค่อยออกหวานเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังมีกลิ่นผลไม้ ไม่มีแทนนินเพราะว่าเป็นไวน์ขาว

  1. Pinot Noir

Pinot Noir เป็นไวน์แดงที่ได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ เพราะมีรสชาติเบา มีแทนนินต่ำพร้อมกับรสชาติของเบอร์รี่และเชอร์รี่ ถึงแม้ว่าจะมีรสชาติออกฝาด ไม่ได้หวานมากนัก ไวน์ตัวนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบไวน์ขาวแต่อยากลองดื่มไวน์แดงดูบ้าง

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะลิ้มลองไวน์รสชาติแสนอร่อย แต่ยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องไวน์และและไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนเพื่อที่ได้ลองทานไวน์ที่เหมาะกับคุณมากที่สุด ก็ควรจะเริ่มจากไวน์ที่มีรสชาติอ่อนๆ และมีรสหวานของผลไม้ชัด พอชินแล้ว จึงค่อยลองไวน์ที่มีรสชาติฝาดขึ้น รับรองว่าคุณจะค่อย ๆ หลงรักไวน์โดยไม่รู้ตัว